(ก๊อปมาจากเว็บpantip ครับ, น่าสนใจดีเลยเอามาฝาก...)
1. อาวุธ (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค)
2. กลยุทธ์
และ ความเข้าใจในสมรภูมิ (ตลาดหุ้น) ตลอดจนยุทธศาสตร์ ระยะสั้น กลาง ยาว
3. อารมณ์ (การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ปฏิบัติตามแผน
ตามระเบียบวินัยการลงทุน ตามเป้าหมายระยะสั้น
ยาว ให้เป็นไปและสอดคล้องกันกับยุทธ์ศาสตร์ที่วางเอาไว้)
ปัจจัย
ทั้ง 3 ตัวมีความสำคัญ
เรียงตามลำดับ เพราะถ้าไม่เลือกหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ก่อน
ก็ต่อสู้กับเขาไม่ได้ แต่ถ้ามีแต่อาวุธ แต่ไร้กระบวนท่า ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
เพราะอาวุธแต่ละประเภทมีข้อจำกัด ตามสถานการณ์และสมรภูมิ
(ไม่มีสัญญาณเทคนิคที่ให้ความแม่นยำถูกต้อง 100%) ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา มันจะแผงฤทธิ์
ได้ดีในตอนไหน (สัญญาณลวงทางเทคนิคมักจะเกิดขึ้นในตลาดขาลง
50-60%
แต่เครื่องมือทางเทคนิคจะทำหน้าที่ได้ดี
(ให้สัญญาณจริง 70-80%)
ในตลาดขาขึ้น เพราะฉะนั้น เซียนเทคนิคจึงผุดขึ้นมากมายในตลาดกระทิง
แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าสถานการณ์มันอำนวยชัยมากกว่า
น้อยคนที่จะมีอาวุธคู่ใจหลายๆอัน ดังนั้นแล้ว จงหาอันที่เหมาะมือไว้สัก 2-3 อันไว้ก่อน ก็พอ
แต่เอาให้ชำนาญยุทธ์ ปิดช่องโหว่งซึ่งกันและกัน
และสุดท้ายคือ ปัจจัยเรื่องอารมณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด กระบวนท่าต้องสัมพันธ์กับใจ อารมณ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะฉะนั้น
จึงเข้าถึงและเข้าใจได้ยากเหมือนกัน แต่ถ้ายอมรับในอิทธิพลของมันแล้ว
ก็จะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด นักรบที่เก่งทั้งหลายในสมัยก่อนที่รบแพ้ส่วนใหญ่
มิใช่เพราะว่าตนไร้ฝีมือ ไร้ยุทธวิธี
แต่เป็นความเย่อหยิ่ง ลำพอง ประมาทคู่ต่อสู้ มิฟังคำทัดทานจากผู้อื่น จึงต้องพ่ายแพ้ และบางทีก็ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก
ดังนั้น
อาวุธ กลยุทธ์ และ
อารมณ์ ต้องให้สัมพันธ์กันตามสถานการณ์ การเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางสะเปะสะปะ ไร้กระบวนท่า ก็จะได้เป้าหมายแบบลมๆแล้งๆ เช่นกัน
ใครถนัดจะเล่นแบบไหน ใช้สัญญาณอะไร อย่างไรก็แล้วแต่
สิ่งหนึ่งที่บอกว่าเราได้มาถูกทางแล้ว คือ การที่เราได้ทำอะไรที่เราเห็นอยู่ทุกๆวัน
เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ผล ยิ่งทำยิ่งง่ายขึ้นแต่เข้าใจ
ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งคิดยิ่งยุ่งยากซับซ้อนออกไป มากไป จนสับสน
เพราะว่าในตลาดหุ้นมันมีความสับสนเป็นสมมุติฐานอยู่แล้ว เรายังไปสับสนต่อเนื่องกับมัน จึงต้องติดกับดับอารมณ์
และกับดับสัญญาณทางเทคนิค ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในกราฟหนึ่งรูปสามารถอธิบายอะไรๆ
ได้มากมาย ถ้าเราซื่อตรงต่อมัน
เข้าใจมันโดนปราศจากอคติ เพราะมันคือความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
ความจริงที่กำหนดทิศทางของตลาด ออกมาจากจิตวิทยามวลชน สัญญาณแต่ละตัวมัน
สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ของมวลชน ทุกอย่างอยู่ในนั้น และ ถ้าอดีตบอกปัจจุบันได้
ปัจจุบันทำนายอนาคตได้ กราฟนี้ก็จะทำหน้าที่อันนี้เช่นกัน
และมันก็บอกว่าอะไรได้เกิดขึ้นแล้ว และทำให้คนสำเร็จและล้มเหลวต่างกันอย่างไร
Blogs ที่เขียนขึ้นแบบหนุกหนุก เพื่อเก็บความทรงจำที่ดีดี และเผื่อแพร่ชาวบ้านในคราวเดียวกัน... คติประจำตัว, จงอย่าโลภเด๊่ยวจะติดดอย..จงอย่ายึดติดเดี๋ยวจะจน..ให้อยู่ในวินัยและมีสติเสมอ.
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
แนวคิดในการลงทุน
วันนี้ไปเจอ YouTube เข้าอันหนึ่งเป็นการสัมภาษณ์คุณวชิรเมษฐ์ (eFinanceThai.com) เกี่ยวกับแนวคิดในการลงทุนในตลาด,, ซึ่งให้แนวคิดดีทีเดียว(ในความคิดผมนะครับ) ซึ่งมีเพียงสามแนวคิดดังนี้
(รายละเอียดดูจาก YouTube เลยครับ)
1. ตัวเราเอง
2. เครื่องไม้เครื่องมือ
3. สภาวะแวดล้อม
(รายละเอียดดูจาก YouTube เลยครับ)
1. ตัวเราเอง
2. เครื่องไม้เครื่องมือ
3. สภาวะแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
บัฟเฟตต์พูด : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บัฟเฟตต์พูด
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Sham
Gad นักศึกษา MBA ที่กำลังจะจบของมหาวิทยาลัย
จอร์เจีย ได้มีโอกาสพาเพื่อนนักศึกษาเข้าพบและพูด คุยกับ วอเร็น บัฟเฟตต์
และต่อไปนี้ คือสาระบางส่วนของการตอบคำถามที่ถูกนำมาขึ้นใน BLOG ส่วนตัวของเขาที่เวบ buffettspeak.blogspot.comดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1. ถามว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงซื้อหุ้นเบิร์กไชร์ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังตกต่ำ ในปี 1962
บัฟเฟตต์ ตอบว่า ราคาหุ้นในขณะนั้นอยู่ที่ 7 3/8 เหรียญ แต่บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน 10 – 11 เหรียญต่อหุ้น ขณะเดียวกันถึงบริษัทจะขาดทุน แต่ก็ได้ทยอยปิดโรงงานจาก 12 โรงเหลือเพียง 2 โรงทำให้มีกระแสเงินสดออกมาใช้ได้มาก นี่เป็นกรณีของการลงทุนในบริษัทที่มีกิจการย่ำแย่แต่มีทรัพย์สินมากซึ่งถือ เป็นการลงทุนแบบ “ก้นบุหรี่” ในช่วงแรกๆ ของการลงทุนของเขา ต่อมาบัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และใช้มันเป็น บริษัท Holding ที่ถือหุ้นอื่นๆ มาจนถึงทุกวันนี้ที่หุ้นเบิร์กไชร์มีราคาหุ้นละหลายหมื่นเหรียญ และทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็นคนที่รวยเป็นอันดับสองของโลก
2. กรณีการซื้อหุ้นของ See’s Candy ในปี 1972
เป็นกรณีของการซื้อธุรกิจที่มียี่ห้อที่แข็งแกร่งของ See’s ซึ่งขายลูกกวาดและช็อคโกแล็ต ซึ่งสามารถขึ้นราคาสินค้าได้บ่อยๆ โดยลูกค้าไม่หันไปซื้อยี่ห้ออื่น บัฟเฟตต์บอกว่า เมื่อเขาจะลงทุน เขาจะถามคำถามข้อหนึ่ง นั่นคือ “คุณจะต้องรอนานแค่ไหนถึงจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้” และนี่คือกรณีแรกๆ ที่บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนแนวการลงทุนจากแบบก้นบุหรี่มาเป็นการลงทุนในหุ้นของ กิจการที่มียี่ห้อโดดเด่น กิจการมีคุณภาพดีมากในราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับการลงทุนก่อนหน้านั้น
3. เมื่อถูกถามว่า 50 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นอเมริกันมีหุ้นราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากมาย เขาคิดว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกไหม
คำตอบก็คือ โอกาสที่น่าสนใจมากๆนั้น มาจากการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์นั้นจะตกใจจนตัวสั่นด้วยความกลัว และตื่นเต้นด้วยความโลภ และสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขาจะมี IQ เท่าไร ตัวบัฟเฟตต์เองนั้น ร่ำรวยขึ้นได้โดยการมองหากำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท
50 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะ มันเป็นเพียงเรื่องของการฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมมนุษย์ มันเป็นเรื่องของคนที่มองหาโอกาสขณะที่คนอื่นกำลังตื่นตกใจจากความกลัวหรือ ตื่นเต้นจากความโลภ สรุปง่ายๆน่าจะเป็นว่า บัฟเฟตต์มองว่าโอกาสในการทำกำไรมากมายจากตลาดหุ้นยังมีอยู่เสมอ ถ้าเราสามารถแยกตัวเองออกมาจากอารมณ์ต่างๆ
4. เรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ คำถามคือ บัฟเฟตต์สนใจสถานการณ์ของประเทศที่เขาจะลงทุนหรือไม่นอกจากเรื่องของบริษัทเอง
คำตอบคือ เขาสนใจ และยกตัวอย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่เขากำลังดูหุ้นพลังงาน 2 ตัว คือ PetroChina ของจีนกับ Yucos ของรัสเซีย ซึ่งบัฟเฟตต์เลือก PetroChina เขาบอกว่าราคาหุ้นตัวนี้ถูกมาก ทั้งบริษัทมีมูลค่าตลาดเพียง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ คือประมาณ 1 ใน 4 ของหุ้น Exxon แต่มีกำไรเท่ากับ 80 % ของ Exxon แต่สิ่งที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจซื้อก็คือเมื่อเขาอ่านรายงานประจำปี และพบว่าประธานของ PetroChina สัญญาว่าจะจ่ายปันผล 45% ของกำไรซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากในธุรกิจนี้ เขาบอกว่า ถ้าเป็นในสหรัฐ บริษัทควรมีมูลค่าตลาดถึง 85 พันล้านเหรียญ ดังนั้น เขาเลือก PetroChina หลังจากนั้น ในเดือนกรกฎาคม ก็ปรากฏว่า เจ้าของ Yucos ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในรัสเซียก็ถูกประธานาธิบดีปูตินสั่งจับ โทษฐานที่ไปคิดแข่งกับปูติน บัฟเฟตต์บอกต่อว่า PetroChina รักษาคำพูดโดยการจ่ายปันผล 45% โดยคิดละเอียดเป็นทศนิยมหลายตำแหน่ง ในขณะที่ในรัสเซียนั้น สถานการณ์การเมืองย่ำแย่มาก
5. บัฟเฟตต์ได้พูดถึงกลยุทธ์การเลือกการลงทุนในกิจการว่า
เขาจะแบ่งบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม โดยจะมีถาดใส่เอกสาร 3 ใบ ใบแรกคือ ถาด In ซึ่งจะเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ มีอนาคตที่สดใส ใบที่สองคือ Out หรือบริษัทที่ไม่ดี ไม่น่าสนใจลงทุน และถาดที่สามคือ Too hard ซึ่งแปลว่ายากเกินไปที่เขาจะเข้าใจ ซึ่งในกลุ่มหลังนี้มีมากเสียจนเขาพูดเล่นๆว่า ต้องมีถังขยะใบใหญ่ๆเอาไว้ทิ้ง
นั่นคือ เขาแนะนำว่า เราควรเลือกหุ้นลงทุนน้อยตัวมาก เช่นในชีวิตนี้ ควรคิดว่าเรามีโอกาสที่จะลงทุนในหุ้นเพียง 20 ตัว ซึ่งจะทำให้เราระมัดระวังและศึกษาอย่างละเอียดก่อนที่จะลงทุน
6. สุดท้าย คำถามที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ นอกจากความสามารถของผู้บริหาร และเรื่องของการดูข้อมูลทางด้านการเงินแล้ว ปัจจัยอะไรที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจได้เร็วมากในการลงทุน
คำตอบก็คือ เขามีเครื่องกรองในการลงทุน 4 ข้อ
เครื่องกรองที่ 1 : เราสามารถเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนไหม มันจะเป็นอย่างไรในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น Intel กับ หมากฝรั่ง และบัฟเฟตต์บอกว่า เขาจะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่เขารู้จักดี เช่น โค้ก
เครื่องกรองที่ 2 : บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ นั่นเป็นเหตุให้เขาไม่ซื้อกิจการที่เป็นแฟชั่น เช่น ของเล่นเด็ก แต่จะซื้อน้ำอัดลมและหมากฝรั่งที่มียี่ห้อและมีความได้เปรียบที่คนอื่นแข่งไม่ได้
เครื่องกรองที่ 3 : บริษัทมีฝ่ายจัดการที่เราสามารถไว้วางใจได้หรือไม่
เครื่องกรองที่ 4 : ราคาหุ้นสมเหตุผลไหม
และนั่นก็คือความคิดเห็นบางส่วนที่บัฟเฟตต์พูดกับนักศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นครั้งคราว และเป็นกลยุทธ์ที่ออกจากปากบัฟเฟตต์เอง ดังนั้น มันจึงเป็นของแท้
****************************
บัฟเฟตต์พูด
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา : http://www.sarut-homesite.net/2009/1...%8C-%E0%B9%80/
วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เขียนเป้าหมายให้ชัดเจน กำหนดระยะเวลา แล้วลงมือทำ
15 นาทีกับ "พี่ก้อย" เจ้าของธุรกิจชื่อดังแห่งเมืองหาดใหญ่ค่ะ
วิทยากรท่านแรกของ Talk Show "4G" ในงาน S2M Meeting&Party 2012 "Investor
Night"
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เพิ่มโอกาสโดยการ 'สร้างโอกาส'
เพิ่มโอกาสโดยการ “สร้างโอกาส” Make Opportunities (จากหนังสือ
กฎแห่งความโชคดี)
บัณฑิต อึ้งรังษี กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2552
บัณฑิต อึ้งรังษี กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2552
ถ้าคุณหางานประจำที่เหมาะไม่ได้ทางออกที่ดีที่สุดคือ
“สร้างงาน” หรือสร้างธุรกิจแบบที่ชอบ
บิลเกตส์ และ สตีฟ จอบส์ ก็ไม่มีงานประจำ พวกเขาล้วนสร้างงาน!
---
“People are always blaming their
circumstances for what they are. I don’t believe in circumstances. The people
who get on in this world are the people who get up and look for the
circumstances they want, and if they can’t find them, make them.” -- George Bernard
Shaw
“คนเรามักจะโทษ ‘สถานการณ์’ในการกำหนดสิ่งที่เขาเป็น
ผมไม่เชื่อเช่นนั้น คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้
คือคนที่ลุกขึ้นไปหาสถานการณ์ที่เขาต้องการ และถ้าหาไม่เจอ ก็สร้างมันขึ้นมา”
-- ยอร์ช เบอร์นาร์ด ชอว์ (ค.ศ. 1856 - 1950, นักเขียนบทละครชื่อดัง)
“The best way to predict your future is to
create it.” -- Tom Peters
“วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต
คือ สร้างอนาคตขึ้นมาเอง” -- ทอม ปีเตอร์ส (ค.ศ. 1942
- ปัจจุบัน , นักเขียนชาวอเมริกัน)
"Anyone who does not know how to make
the most of his luck has no right to complain if it passes him by." --
Cervantes, great author of Don Quixote
คนที่ไม่รู้จักเอาประโยชน์จากโชค
ก็ไม่มีสิทธิ์บ่น ถ้าโชคนั้นผ่านเขาไป -- เซอร์วานเตส (ค.ศ. 1547-1616,
นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปน ผู้เขียนเรื่องดอน คีโฮเต้)
มีคนเป็นจำนวนมากที่เก่งแต่บ่น เมื่อโอกาสไม่มาถึง ก็บ่นว่าไม่มีโชคกับเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้หรอกว่า คนอื่นที่ดูเผิน ๆ นึกว่าเขา “โชคดี” นั้น เขาทำงานหนักแค่ไหน หรือ เขาสร้างโอกาสให้ตัวเขาเองอย่างไร หรือเขามีความคิดที่ดีกว่าอย่างไร (การคิดมีผลต่ออนาคต)
แน่นอน บางคนมีข้อได้เปรียบตั้งแต่เกิด เช่น เกิดมาในตระกูลร่ำรวย มีชาติตระกูล มีเส้นสาย หน้าตาหล่อ สวย ฯลฯ
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะ “บ่น” และก็ไม่ทำอะไร
ถ้าโอกาสไม่วิ่งเข้ามาหา ก็ไป “สร้างโอกาส” เองเสียเลย
ถ้าคุณหางานไม่ได้.. ก็.. สร้างงานเองเสียเลย
ตอนผมอายุ 20
ปี ผมได้ไปประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรก
เพื่อไปศึกษาการเป็นวาทยกรอย่างเป็นกิจจะลักษณะในระดับปริญญาตรี
แต่ปรากฏว่าคณะดนตรีที่มหาวิทยาลัยนั้นไม่มีวงออร์เคสตราให้ผมคอนดักท์
มีวงประจำเมืองอยู่วงหนึ่งชื่อว่า Wollongong Symphony
Orchestra ซึ่งมีคอนดักเตอร์ประจำอยู่แล้ว
และก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้เด็กหนุ่มอายุ 20 ปี
เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ ให้มาคอนดักท์
ในเมื่อไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสมาให้
ผมจึงคิดว่าต้อง “สร้างโอกาส” เอง
ขั้นแรก ผมเริ่มไปดูการซ้อมทุกครั้งของวง Wollongong Symphony
Orchestra พยายามเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวงการ
ขั้นที่สอง ผมเริ่มผูกมิตรกับคนทุกคนในวง
เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งอาจต้องขอความช่วยเหลือจากเขา
ขั้นที่สาม ผมเริ่มวางแผนจัดคอนเสิร์ตเอง ที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์
(คอนเสิร์ตการกุศล นักดนตรียอมเล่นฟรี ค่าใช้จ่ายเช่น ค่าหอ ฯลฯ ขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย
ซึ่งได้ประโยชน์ในการโชว์ผลงานนักศึกษาของตนเอง ฯลฯ)
เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็คุ้มค่า
เพราะคอนเสิร์ตได้รับการตอบรับที่ดีมาก
ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่ผมต้องจัดคอนเสิร์ตเอง
เพราะหลังจากนั้นก็มีการเชิญหลั่งไหลเข้ามา เพราะเราได้แสดงผลงานให้เขาเห็นแล้ว
ถ้าไม่ออกไป “สร้างโอกาส” ครั้งนั้น ผมอาจ “ไม่ได้เกิด”
หรือเกิดก็ช้ามาก
คนทั่วไปส่วนใหญ่ รวมทั้งตัวผมเอง
ได้ถูกหล่อหลอมความคิดให้ไป “สมัครงาน” อาจจะเป็นเพราะระบบการศึกษาส่วนใหญ่ (ทั่วโลก) ไม่ได้สอนคนให้คิด “สร้างงาน”
แต่ถ้าคุณหางานประจำที่เหมาะกับคุณไม่ได้เลย
ทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่ง คือ “สร้างงาน” หรือสร้างธุรกิจแบบที่คุณชอบ
คนเก่ง ๆ หลายท่านไม่มีงานประจำทำ
บิลเกตส์
ไม่มีงานประจำ สตีฟ จอบส์ ไม่มีงานประจำ
เขาสร้างงาน!
มันไม่ใช่เรื่องยากนัก
ถ้าคุณศึกษาและเตรียมการมา ก่อนที่จะก้าวออกไปสู่มิติใหม่ของการ “สร้างงาน”
วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำในตลาดหุ้น
1. จงทำตามระบบแล้วระบบจะเป็นผู้ฝึกฝนคุณเอง
2. การ LOSS ตามระบบ คือ ภาวะปกติ = Beautiful Loss เป็นการ Loss ที่นอนหลับได้
3. Sideway อย่าใช้ "เจ็ง" ... มี Trend ห้ามหลุด
4. จินตนาการเข้าข้างตนเอง = สิ่งที่อันตรายที่สุดในการเล่นหุ้น
5. หุ้นไม่ได้ขึ้นลงเป็นเส้นตรง
6. ไม่มีหนทางลัดสู่ทางสำเร็จ.. ท่านต้องมุ่งมั่น .. ทุ่มเทและอาศัยเวลา
7. จงให้รางวัลแก่ชีวิต สุขภาพสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง
Credit: สวัสดิพงศ์ ต่อฑีฆะ
2. การ LOSS ตามระบบ คือ ภาวะปกติ = Beautiful Loss เป็นการ Loss ที่นอนหลับได้
3. Sideway อย่าใช้ "เจ็ง" ... มี Trend ห้ามหลุด
4. จินตนาการเข้าข้างตนเอง = สิ่งที่อันตรายที่สุดในการเล่นหุ้น
5. หุ้นไม่ได้ขึ้นลงเป็นเส้นตรง
6. ไม่มีหนทางลัดสู่ทางสำเร็จ.. ท่านต้องมุ่งมั่น .. ทุ่มเทและอาศัยเวลา
7. จงให้รางวัลแก่ชีวิต สุขภาพสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง
Credit: สวัสดิพงศ์ ต่อฑีฆะ
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ผอ.ไอเอ็มเอฟเตรียมทบทวนตัวเลขเติบโตของเศรษฐกิจโลก หลังอียู-สหรัฐอาการหนัก
นางคริสติน ลาการ์ด
ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
กล่าวในระหว่างงานสัมมนาร่วมระหว่างธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB)
และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Thailand ADB-IMF Conference) ภายใต้หัวข้อ “ทางเดินสู่เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโลก”
(Towards a More Stable Global Economic System) โดยมีผู้นำองค์กรทั้งสองเข้าร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า เท่าที่มีการประเมินสถานการณ์ภูมิภาคเอเชีย
พบว่าพื้นฐานการคลังยังเข้มแข็ง บริษัทมีหนี้ทางการค้าที่ยังคงเป็นหนี้ที่ดี
และไม่สูงมากนัก แต่ก็ยอมรับว่า
เศรษฐกิจเอเชียจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจของยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ที่มีปัญหามาก
ดังนั้น ในวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2555 ทางไอเอ็มเอฟ จะทบทวนตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง เนื่องมาจาก 2 ปัจจัย จากปัญหาของสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่มีมาก โดยในส่วนปัญหาของสหรัฐ อเมริกา มี 2 กรณี ได้แก่ สหรัฐอเมริกาขยายเพดานหนี้ในทุกปี ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล
ดังนั้น ในวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2555 ทางไอเอ็มเอฟ จะทบทวนตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง เนื่องมาจาก 2 ปัจจัย จากปัญหาของสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่มีมาก โดยในส่วนปัญหาของสหรัฐ อเมริกา มี 2 กรณี ได้แก่ สหรัฐอเมริกาขยายเพดานหนี้ในทุกปี ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล
ต่อเนื่อง
และมาตราการการเก็บภาษียังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน
เศรษฐกิจของสหรัฐยังขยายตัวไม่ดี
นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยในส่วนของสหภาพยุโรป ก็มี2 เรื่องด้วย ได้แก่ปัญหาหนี้สาธารณะสูง และปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน เป็นสิ่งท้าทายที่ยูโรจะต้องแก้ปัญหาต่อไป อย่างไรก็ตามปัญหาของอียูยังเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมาตรการการรัดเข็มขัดของประเทศที่มีปัญหายังทำไม่ดีพอ รวมถึง การที่หลายประเทศมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่นประเทศเยอรมันที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังคงแข็งแรงจะสามารถปรับตัวได้ดีกว่า ขณะที่ประเทศที่มีปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นคาดว่า ยังคงน่าจะมีปัญหาอีกต่อไป
ด้านนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธาน ADB กล่าวว่า เอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจาก เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน รวมถึงความต้องการในตลาดโลก สินเชื่อ และความเชื่อมั่นที่ลดลง โดยทางADB คาดการณ์ว่าแนวโน้มการขยายตัวของเษศรษฐกิจโลกจากร้อยละ 7.2 ลงมาอยู่ที่ ร้อยละ6.5 เนื่องจากการส่งออกชะลอตัว
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีนและ อินเดีย ยังคงมีปัญหาแต่ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังคงมีความต้องการในการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูง แต่ ADB ยังคงเป็นห่วงประเทศในเอเชียตะออกเฉียงใต้ ซึ่งเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินทุนไหลเข้า-ออกที่รวดเร็ว ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชีย ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ทุกประเทศในเอเชียจะต้องรวมตัวกัน และช่วยกันแก้ปัญหาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยในส่วนของสหภาพยุโรป ก็มี2 เรื่องด้วย ได้แก่ปัญหาหนี้สาธารณะสูง และปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน เป็นสิ่งท้าทายที่ยูโรจะต้องแก้ปัญหาต่อไป อย่างไรก็ตามปัญหาของอียูยังเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมาตรการการรัดเข็มขัดของประเทศที่มีปัญหายังทำไม่ดีพอ รวมถึง การที่หลายประเทศมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่นประเทศเยอรมันที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังคงแข็งแรงจะสามารถปรับตัวได้ดีกว่า ขณะที่ประเทศที่มีปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นคาดว่า ยังคงน่าจะมีปัญหาอีกต่อไป
ด้านนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธาน ADB กล่าวว่า เอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจาก เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน รวมถึงความต้องการในตลาดโลก สินเชื่อ และความเชื่อมั่นที่ลดลง โดยทางADB คาดการณ์ว่าแนวโน้มการขยายตัวของเษศรษฐกิจโลกจากร้อยละ 7.2 ลงมาอยู่ที่ ร้อยละ6.5 เนื่องจากการส่งออกชะลอตัว
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีนและ อินเดีย ยังคงมีปัญหาแต่ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังคงมีความต้องการในการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูง แต่ ADB ยังคงเป็นห่วงประเทศในเอเชียตะออกเฉียงใต้ ซึ่งเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินทุนไหลเข้า-ออกที่รวดเร็ว ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชีย ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ทุกประเทศในเอเชียจะต้องรวมตัวกัน และช่วยกันแก้ปัญหาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
การเปิดโปรแกรม eFinanceThai บนweb BLS
วันนี้มีเพื่อนผมคนหนึ่งไม่รู้วิธีการเข้า eFinancethai บนเว็บ http://www.bualuang.co.th
ก็เลยถือโอกาศแสดงขั้นตอน
1). เข้าเว็บไซต์ http://www.bualuang.co.th แล้วทำการ login แอกเคาท์ตัวเองเลยครับ
2). ทำการติกตรงแทปกราฟ จากนั้ก็eFinancethai
3). เมื่อได้หน้าต่างตามภาพข้างล่างก็ให้ขยาย หน้าต่างของ eFinancethai
4). หลังจากขยายก็จะได้หน้าต่างตามข้างล่าง ทำการติกที่่ eFin Smart Potal เลยครับ
5). แล้วจะได้หน้าต่างตามนี้ ก็จัดการติกตรง START ได้เลย รอสักพักโปรแกรมกราฟก็จะมา
6). อันนี้เลยครับ.....
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ทำไม Enron ล้มละลาย คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
ทำไม Enron ล้มละลาย
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
เริ่มต้นด้วยความหยิ่งยโส แล้วตามด้วยความโลภ เสริมด้วยการหลอกลวง และสนับสนุนด้วยเล่ห์อุบายทางการเงิน ผลที่ได้คือ การล่มสลายของบริษัท หนึ่ง ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งยุคเศรษฐกิจใหม่ นี่คือบทสรุปของนิตยสารชื่อดังอย่าง Fortune ที่มีต่อ Enron
การตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการล้มละลายของ Enron เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดไปทั่วโลก แทบไม่น่าเชื่อว่า บริษัทซึ่งเคยได้ชื่อว่า เป็นซูเปอร์สตาร์ของยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจ ใหม่ ที่ใช้เวลาเพียง 10 กว่าปีในการสร้างเนื้อสร้างตัว จนทะยานขึ้นเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับโลก กลับ ล่มสลายลงในชั่วพริบตาเดียว และจนถึงวันนี้ยังไม่มีใคร สามารถเข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Enron กันแน่
Jeff Skilling อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Enron เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร Fortune เมื่อต้นปีที่แล้ว (2001) ว่า ธุรกิจของเขาไม่ใช่ "กล่องดำ" ของเครื่องบิน ที่ต้องมาไขปริศนากัน แต่เป็นเพียงธุรกิจ ที่ง่ายๆ และชัดเจน ที่ใครๆ ก็เอาอย่างได้ ดังนั้น ใครก็ตามที่แสดง ความคลางแคลงในธุรกิจของ Enron จึงเป็นคนที่ไม่เคยรู้จัก Enron อย่างแท้จริง
"เรามีคำตอบที่ชัดเจนให้เสมอ แต่คนก็ยังอยากจะขว้าง ก้อนอิฐเข้าใส่เรา" ในขณะนั้น มูลค่าหุ้นตามราคาตลาดของ Enron อยู่ที่ประมาณ 60 พันล้านดอลลาร์ หรือต่ำกว่าระดับราคาสูงสุด ตลอดกาลของตัวเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสถานภาพการเป็น "ลูกรัก" ของนักลงทุนใน Wall Street ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะอับแสง จนหมดราคาอย่างทุกวันนี้
ในช่วงเวลานั้น นักเขียนของ Fortune กำลังเขียนบทความ เกี่ยวกับ Enron แต่พบว่า งบการเงินของ Enron ซับซ้อนจนอ่าน แทบไม่เข้าใจเลย นักเขียนผู้นั้นจึงโทรศัพท์ไปที่ Enron แต่คำตอบ ที่ได้รับคือ ท่าทีไม่พอใจของซีอีโอ Skilling ซึ่งกล่าวว่า ถ้อยคำที่ นักเขียนของ Fortune ใช้ในการถามนั้น "ไร้จริยธรรม" และวางหู โทรศัพท์ทันที แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว Mark Palmer โฆษก ของ Enron ก็ได้โทรกลับมาและขอมาพบกับนักเขียนผู้นั้นที่สำนัก งานของ Fortune ด้วยตัวเอง พร้อมด้วย Andy Fastow ประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Enron โดย Palmer ให้เหตุผลในการ ขอพบว่า เพื่อที่จะได้ตอบข้อข้องใจทุกอย่างของนักเขียนผู้นั้นได้ อย่าง "ครบถ้วนและถูกต้อง"
แต่มาถึงขณะนี้ ในขณะที่ Enron กำลังช็อกโลกด้วยการ ล่มสลายอย่างไม่มีใครคาดฝัน ดูเหมือนว่า Enron ถูก "ขว้างก้อน อิฐ" น้อยเกินไป และในขณะที่โลกกำลังร่ำร้องขอ "คำตอบที่ชัด เจน" ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Enron กันแน่ แต่ Skilling ผู้กำลังหลบหน้า นักข่าวอย่างอุตลุดตามคำแนะนำของทนายส่วนตัว กลับไม่อยู่ให้ "คำตอบที่ชัดเจน" เสียแล้ว (Skilling ลาออกในเดือนสิงหาคมปีที่ แล้ว)
ส่วนที่บอกว่าจะตอบคำถามทุกคำถามอย่าง "ครบถ้วนและถูกต้อง" นั้น หลายคนบอกว่า เหล่าผู้นำระดับสูงของ Enron เคย เข้าใจความหมายของคำ 2 คำนี้ด้วยหรือ "วิธีที่ดีที่สุดที่จะซ่อนไม้ ท่อนหนึ่งไม่ให้ใครหาเจอก็คือ ซ่อนมันไว้ในป่า" John Dingell สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตจากรัฐมิชิแกนกล่าวถึง ลักษณะของงบการเงินของ Enron เขากำลังเรียกร้องให้สภาคอง เกรส สหรัฐฯ สอบสวน Enron "สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่นี้คือ รายงาน ทางการเงินที่ซับซ้อนที่สุด พวกเขาไม่จำเป็นต้องโกหกเลย เพียง แค่ทำให้เรางงด้วยการทำงบการเงินที่อ่านยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจ"
ถ้าเป็นเมื่อก่อน Enron จะต้องเถียงอย่างหัวชนฝาว่า ธุรกิจ หรืองบการเงินของตนนั้นไม่ได้ซับซ้อนเลยสักนิดเดียว และไม่เคยคิด ที่จะปิดบังความรู้สึกดูแคลนคนที่อ่านงบการเงินของตนไม่เข้าใจว่า เป็นความผิดของคนคนนั้นต่างหากที่ไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าใจ ธุรกิจหรืองบการเงินของ Enron
นักวิเคราะห์ Wall Street หลายคนรวมทั้ง David Fleisher แห่ง Goldman Sachs ยอมรับว่า ไม่ว่า Enron จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่อง การเงินของตัวเอง ก็จำเป็นต้องเชื่อเอาไว้ก่อน แน่นอน เมื่อก่อนนี้ ทุกคนไม่มีปัญหากับการเชื่อคำพูดของ Enron ตราบใดที่ Enron ยัง คงให้ในสิ่งที่ Wall Street แคร์มากที่สุด นั่นคือ รายได้ที่เติบโตอย่าง สม่ำเสมอ แต่มาถึงขณะนี้ ซึ่งการณ์ก็ปรากฏชัดแล้วว่า รายได้อัน งดงามเหล่านั้นหาได้สวยหรูอย่างที่เคยเข้าใจกันไม่ ใครๆ จึงพากัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ธุรกิจของ Enron ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ และอาจจะซับซ้อนมากเสียจนแม้แต่ Ken Lay อดีตผู้ก่อตั้ง Enron เอง ก็ ยังไม่สามารถจะเข้าใจได้ (Lay เคยพูดเป็นนัยๆ ในทำนองนี้เอง เมื่อ ครั้งกลับมารับตำแหน่งซีอีโอคืนจาก Skilling)
ดังนั้น สิ่งที่ไม่เคยเป็นปัญหา จึงได้กลับกลายเป็นปัญหาขึ้น มาเสียแล้ว และทำให้สงสัยกันว่า ทำไม จึงมีคนมากมายที่เต็มใจจะเชื่อข้อมูลการเงินที่มีน้อยคนสามารถจะเข้าใจมันจริงๆ
ยังมีคำถามอื่นๆ ตามมาอีกมากมายหลังจาก Enron ล่มสลาย ซึ่งล้วนแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ แม้กระทั่งในขณะนี้ที่บรรดาเจ้าหนี้ กำลังรุมทึ้งซากที่เหลือแต่โครงกระดูกของ Enron อยู่ ด้าน Enron ก็ใช่ จะยอมรับชะตากรรมง่ายๆ แต่กำลังดิ้นรนสุดฤทธิ์ ที่จะหาผู้สนับสนุน ทางการเงินรายใหม่ เพื่อฟื้นธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของตนขึ้นมาใหม่ให้ ได้ ประชาชนก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เกิดอะไรขึ้น ใน Enron กันแน่ ไม่แม้แต่พนักงานของ Enron ซึ่ง บัดนี้ยังคงอยู่ในสภาพช็อกไม่หาย ที่อยู่ๆ บริษัท ที่ตัวเองกำลังทำงานอยู่ดีๆ ก็ล้มครืนลงมาอย่าง ไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลายคนถามว่า สาเหตุการล่มสลายของ Enron เกิดจากวิกฤติศรัทธาเท่านั้นใช่หรือไม่ โดยที่จริงๆ แล้วบริษัทยังคงแข็งแกร่งอยู่ หรือว่า การจัดทำงบการเงินอย่างไม่โปร่งใส ซึ่งรวมถึง การไม่นำธุรกิจที่บริหารโดยผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท มาบันทึกลงในงบดุล อันเป็นที่มาของ การเกิดวิกฤติศรัทธาดังกล่าว จะเป็นวิธีที่ Enron ใช้ปกปิดประเด็นที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า นั่นคือ การพยายามรักษาระดับราคาหุ้นของ Enron ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และมีคำถามหนึ่งที่ทุกคนทั้งนอกและใน Enron อาจจะอยากรู้มากที่สุด ในตอนนี้ก็คือ เมื่อพิจารณาถึงความไม่ชอบมาพากลทั้งหลายแหล่ ที่เกิดขึ้นกับการจัดทำงบการเงินของ Enron แล้ว จะทำให้ใคร ต้องเดินเข้าคุกบ้างหรือไม่
ผู้อหังการ
"หยิ่งยโส" คือคำที่ทุกคนใช้เมื่อพูดถึง Enron ภายในบริษัท แห่งนี้มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า บริษัทคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้ง ในยุคเศรษฐกิจเก่า (old economy) ไม่มีทางที่จะมาสู้รบปรบมือ กับบริษัทในยุคเศรษฐกิจใหม่ (new economy) อย่างตนได้ "ยักษ์ ใหญ่พวกนั้นจะล้มคว่ำไปเองเพราะความเทอะทะอุ้ยอ้ายของตัว เอง" Skilling กล่าวเมื่อปีที่แล้ว เขาหมายถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุค เศรษฐกิจเก่าอย่าง Exxon Mobil
ช่วงฤดูหนาวของปีกลาย Skilling พยายามพูดต่างกรรมต่าง วาระว่า หุ้นของ Enron ซึ่งขณะนั้นมีราคาประมาณ 80 ดอลลาร์ ต่อหุ้น ควรจะมีราคาสูงกว่านั้นคือควรจะขายที่ 126 ดอลลาร์ต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน Enron จะมีดีพอที่จะแสดงความอหังการ ได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Enron ซึ่งเป็นบริษัทที่ Ken Lay มีส่วน ร่วมในการก่อตั้งในปี 1985 จากการรวมกิจการบริษัทท่อก๊าซ 2 แห่ง นับเป็นบริษัทที่บุกเบิกการค้าก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าในยุค เศรษฐกิจใหม่ตัวจริง
Enron เป็นผู้สร้างตลาดใหม่ๆ สำหรับการค้า สิ่งที่เรียกว่า เป็น "ตราสารสัญญาซื้อขายล่วงหน้า" (weather futures) เพียงเวลา 6 ปีนับแต่ก่อตั้ง Enron ก็ได้รับการโหวตให้เป็น บริษัทที่มีนวัตกรรมดีเด่นที่สุด (Most Innovative) ในบรรดาบริษัทที่ได้รับความนิยมยกย่องที่สุดจาก การจัดอันดับของ Fortune (Fortune's Most Admired Companies) Enron ภายใต้การกุมบังเหียนของ Skilling ผู้เข้าร่วมกับบริษัทตั้งแต่ปี 1990 โดยก้าวมาจาก บริษัทที่ปรึกษา McKinsey (เขาขึ้นเป็นซีอีโอสืบต่อ จาก Lay ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001) ดำเนินธุรกิจด้วย ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า บริษัทสามารถจะขาย และทำเงินจากทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ตั้งแต่อิเล็ก ตรอนถึงพื้นที่โฆษณา
ในช่วงสิ้นสุดทศวรรษ 1990 Enron ซึ่งเคย สร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มีตัวตนจับต้องได้อย่าง ท่อก๊าซ กลับมีรายได้มากกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมดจากธุรกิจที่ เข้าใจยากอย่าง "การดำเนินการและการบริการด้านพลังงานแก่ลูกค้า รายใหญ่" (wholesale energy operations and services) ตั้งแต่ปี 1998-2000 รายได้ของ Enron พุ่งทะยานขึ้นจาก 31 พันล้านดอลลาร์ เป็น 100 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในการจัดอันดับ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก Fortune 500 ช่วงต้นปี 2000
เมื่อเทคโนโลยี broadband กำลังกลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่า ตลาดหลายพันล้านดอลลาร์ Enron ก็ประกาศแผนที่จะค้าเทคโนโลยี ที่เป็นสุดยอดของยุคนี้กับเขาด้วย จากความหยิ่งผยอง ตามมาด้วย ความโลภ แผนการจ่ายค่าตอบแทนและผลประโยชน์ต่างๆ ของ Enron ดูเหมือนมุ่งจะทำให้ผู้บริหารร่ำรวยขึ้น มากกว่ามุ่งจะสร้างกำไรแก่ ผู้ถือหุ้น ยกตัวอย่างในธุรกิจการให้บริการพลังงานของ Enron ซึ่งรับ ผิดชอบบริหารความต้องการพลังงานของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Eli Lilly ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ต่างๆ ที่ผู้บริหารของธุรกิจดังกล่าวได้ รับ คิดคำนวณจากสูตรการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด โดยไม่ได้ใช้ผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาทรัพย์สินจากภายนอก อดีต ผู้บริหารคนหนึ่งของธุรกิจดังกล่าวของ Enron ชี้ว่า ผลที่เกิดขึ้นจาก การกระทำเช่นนั้นก็คือ แรงกดดันให้มีการประเมินมูลค่าของตราสาร สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สูงเกินจริง ถึงแม้ว่าราคาที่สูงเกินไปนั้นจะไม่ได้ทำให้เหล่าผู้บริหารได้รับเงินสดเป็นจำนวนมากขึ้นจริงๆ ก็ตาม
การที่ Enron เชื่อมั่นว่า ตนเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำการปฏิวัติ ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการส่งเสริมการไม่ทำตามกฎเกณฑ์ จึงเกิดเสียง ซุบซิบนินทาอยู่เนืองๆ ว่า บรรดาผู้บริหารของบริษัทชอบแหกกฎ จนเคยชินและลุกลามไปถึงชีวิตส่วนตัวด้วย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ของผู้บริหารระดับสูงบางคนกลายเป็นเรื่องปิดกันให้แซด Enron ยังถูกนินทาว่า เป็นบริษัทที่ "โหด" กับพนักงานมาก
Skilling มีชื่อเสียงในการคิดระบบการประเมินคุณภาพพนัก งานด้วยการจัดอันดับ พนักงานที่ถูกจัดอันดับรั้งท้าย 20% จะต้องออกจากบริษัทไป พนักงานของที่นี่จึงชิงดีชิงเด่นกันตลอด เวลา เพื่อไม่ให้ต้องถูกจัดอยู่ในอันดับ บ๊วย นอกจากนี้ พนักงานคนไหนที่ บอกว่า บริษัทกำลังมีปัญหาอาจถูก มองว่าเป็นการให้ข่าวร้าย ซึ่งจะส่งผล เสียหายให้บริษัท และอาจตกงานได้ ง่ายๆ ดังนั้น บรรดาพนักงานของที่นี่ จึงปิดปากเงียบแล้วกวาดปัญหาเข้า ไว้ใต้พรม อดีตพนักงานคนหนึ่งของ Enron เล่าว่า การหลอกตัวเองว่าบริษัท ไม่มีปัญหาแบบนี้ มีมากเป็นพิเศษใน ธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของบริษัท "พนัก งานพากันเชื่อมั่นอย่างจริงๆ จังๆ ว่า จะไม่มีวันมีอะไรที่ผิดพลาด เกิดขึ้นในบริษัทอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมาก จริงๆ"
ความลับของ Enron
"เราไม่ใช่บริษัทค้าหลักทรัพย์" Fastow กล่าวเมื่อคราวมา เยือน Fortune ในเดือนกุมภาพันธ์ปีกลาย "เราไม่ได้ทำธุรกิจที่มี รายได้จากการเก็งกำไร" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Enron กล่าวต่อไปพร้อมกับชี้ว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา Enron มีรายได้เพิ่ม ขึ้นติดต่อกันถึง 20 ไตรมาส "ถ้าเราเป็นบริษัทค้าหลักทรัพย์ มี หรือจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอแบบนี้"
อย่างไรก็ตาม เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาใครนอก บริษัท Enron ที่เห็นด้วยกับ Fastow "พวกเขาไม่ใช่บริษัทพลังงาน ที่ทำธุรกิจค้าหลักทรัพย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของ บริษัท แต่พวกเขาเป็นบริษัทที่เอาจริงเอาจังกับการค้าหลักทรัพย์ อย่างมาก" Austin Ramzy ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Principal Capital Income Investors กล่าวและบริษัทคู่แข่งรายหนึ่งของ Enron ก็เห็นด้วย
ความจริงแล้ว Enron มีชื่อเสียงในการชอบทำอะไรที่เสี่ยงๆ มากกว่าบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะการค้าตราสารสัญญาระยะยาว ซึ่งมีสภาพคล่องน้อยกว่าตราสารประเภทอื่นๆ มาก นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า ในบรรดาบริษัทที่ไม่ใช่วาณิชธนกิจแล้ว Enron เป็น บริษัทที่เอาจริงเอาจังมากที่สุดบริษัทหนึ่ง ในการทำธุรกรรมซื้อขาย เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนเข้าใจยากอย่าง credit derivatives เหตุที่ Enron ไม่ต้องการให้ความเอาจริงเอาจังอย่างมากในการทำธุรกิจค้า หลักทรัพย์ของตนเป็นที่เปิดเผยเลื่องลือไป มีคำอธิบายที่ชัดเจนคือ ความกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับราคา หุ้นของบริษัทนั่นเอง
การเป็นบริษัทค้าหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีลักษณะของรายได้ที่ผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ย่อมกระทบกับการประเมินมูลค่าหุ้นของ บริษัท ลองดู Goldman Sachs เป็นตัว อย่าง Goldman Sachs เป็นบริษัทค้า หลักทรัพย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ ราคาหุ้นของบริษัทก็แทบไม่เคยขายได้ มากกว่า 20 เท่าของรายได้ เทียบกับราคา หุ้นของ Enron ที่เคยทวีคูณสูงสุดถึง 70 เท่าหรือมากกว่า คุณจะไม่มีวันได้ยินฝ่ายบริหารของ Goldman คาด การณ์รายได้ของปีหน้าเป็นตัวเลขที่แน่นอน ในขณะที่ฝ่ายบริหาร ของ Enron สามารถทำนายรายได้ของตนอย่างมั่นใจเป็นตัวเลขที่ ละเอียดเกือบจะถึงหน่วยเพนนีเลยทีเดียว
มูลค่าหุ้นของ Enron จะสามารถรักษาระดับราคาที่สูงไว้ได้ ก็ต่อเมื่อ Enron สามารถจะทำรายได้ได้ตามที่ตนได้คาดการณ์ไว้ เพราะนักลงทุนก็เช่นเดียวกับฝ่ายบริหารของ Enron สิ่งที่พวกเขา แคร์ที่สุดก็คือราคาหุ้นเท่านั้น ตราบใดที่ Enron สามารถทำรายได้ถึง ระดับที่ได้สัญญาไว้ (รวมถึงชอบแสดงวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างเช่น แผนการทำธุรกิจ broadband) ตราบนั้น ราคาหุ้นของ Enron ก็ย่อมจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
กำไรหายไปไหน
Jim Chanos ผู้บริหารบริษัท Kynikos Associates ซึ่งเป็นบริษัท ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในความเชี่ยวชาญด้านการทำ short-sell เป็นคนแรกที่พูดถึงความไม่ชอบมาพากลของงบการเงินของ Enron ตั้งแต่ต้นปี 2001 ว่า ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า Enron สร้างรายได้ ได้ด้วยวิธีใด ใช่แต่เท่านั้น Chanos ยังเป็นผู้ที่ชี้ว่า Enron ไม่ได้มี รายได้มากมหาศาลอย่างที่ใครๆ เข้าใจ กำไรจากการดำเนินงาน (operating margin) ของ Enron ลดลงจากราว 5% เมื่อต้นปี 2000 เหลือเพียงต่ำกว่า 2% เมื่อต้นปี 2001 และผลตอบแทนการลงทุน (return on invested capital) ทรงตัวอยู่แค่เพียง 7% เท่านั้น นี่ยังไม่ได้ รวมหนี้นอกงบดุลของ Enron เข้ามาคิดด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นที่เปิดเผยใน เวลาต่อมาว่ามีจำนวนมหาศาล
Chanos ผู้นี้ยังเปิดโปง Enron ต่อไปว่า Skilling ยังได้เทขาย หุ้นของ Enron ซึ่งไม่น่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้ที่เคยแสดงความเชื่อ มั่นว่า หุ้นราคา 80 ดอลลาร์ของตนควรจะมีมูลค่าแท้จริงที่ 126 ดอลลาร์ ไม่เพียง Enron จะไม่กำไรอย่างที่คิด แต่กระแสเงินสดจาก การดำเนินงานของบริษัทยังดูเหมือนจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับรายได้ ที่ได้รายงานไว้ในบัญชีเลย ทั้งนี้เพราะบริษัทใช้วิธีบันทึกบัญชีส่วน ใหญ่ของตนแบบ "mark to market" กล่าวคือ ใช้วิธีประเมินมูลค่า เฉลี่ยของตราสารสัญญาแล้วบันทึกเป็นรายได้ลงในงบกำไรขาดทุน จึงทำให้รายได้ที่ปรากฏในบัญชีไม่ตรงกับจำนวนเงินสดที่บริษัท มีอยู่จริง ความจริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่วิธีการลงบัญชี ถ้าจะไม่เป็น เพราะการดำเนินธุรกิจของ Enron ดูจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากหนี้สินที่ปรากฏในงบดุลของบริษัท พุ่งสูงขึ้นจาก 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 1996 เป็น 13 พันล้านดอลลาร์ ในงบดุลล่าสุด Skilling และ Fastow อธิบายเรื่องผลตอบแทนการ ลงทุนที่ต่ำของ Enron อย่างง่ายๆ ว่า เป็นเพราะมี "ปัจจัยที่บิดเบือน" อยู่
Fastow กล่าวว่า Enron ได้ลงทุนขนาดใหญ่ในท่อก๊าซและโรงงานในต่างประเทศตั้งแต่อินเดียถึงบราซิล ส่วน Skilling บอกกับ นักวิเคราะห์ว่า Enron กำลังสลัดทิ้งสิน ทรัพย์เก่าๆ ที่ทำรายได้ไม่เข้าเป้าโดยเร็ว ที่สุด และยืนยันว่า ธุรกิจใหม่ๆ ของ Enron จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามากๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครภายนอก บริษัท Enron (รวมทั้งน้อยคนใน Enron) ที่สามารถวัดขีดความสามารถในการทำ กำไรที่แท้จริง หรือถ้าจะพูดให้ตรงประเด็นกว่านั้นคือ ความสามารถในการทำ กำไร "อย่างสม่ำเสมอ" ของธุรกิจค้า หลักทรัพย์ของ Enron ได้ อดีตพนักงาน คนหนึ่งของ Enron บอกว่า Skilling และบรรดาคนสนิทของเขาปฏิเสธ ที่จะชี้แจงรายละเอียดว่า ธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของ Enron มีผลตอบ แทนการลงทุนเป็นเท่าไร แต่พยายามที่จะให้ใครๆ ดูแต่รายได้ที่ ปรากฏในบัญชีแทน ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 รายการสินทรัพย์ ของ Enron เต็มไปด้วยหลักทรัพย์จากธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งถูกใส่เข้ามาในการจัดทำงบการเงินเพียงเพื่อประโยชน์ในการ รายงานงบดุลเท่านั้น Chanos อีกเช่นกันที่ตั้งข้อสังเกตว่า Enron กำลังขายหลักทรัพย์เหล่านั้นออกไป และบันทึกกลับลงไปเป็น รายได้อีกครั้ง นอกจากนี้ Enron ยังซื้อหุ้นสามัญของธุรกิจทุก ประเภทที่มีอยู่ในตลาด และลงบัญชีผลตอบแทนที่ได้จากการ ลงทุนในหุ้นของบริษัทเหล่านั้นลงในส่วนของรายได้ด้วย Chanos ยังเป็นคนแรกที่ค้นพบธุรกิจที่ไม่เป็นที่เปิดเผยของ Enron จาก การที่เขาได้ศึกษาเอกสารต่างๆ ของ Enron อย่างละเอียด ทำให้ เขาพบว่า มีการกล่าวถึงอย่างคลุมเครือหลายครั้งในเอกสารเหล่า นั้น ถึงการทำธุรกรรมระหว่าง Enron กับ "องค์กรที่เกี่ยวข้อง" หลายองค์กร ซึ่งบริหารโดย "เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงคนหนึ่ง ของ Enron" Chanos บอกว่า ถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่า "องค์กรที่เกี่ยวข้อง" นั้นหมายถึงอะไร และกำลังทำอะไรอยู่กับ Enron แต่การที่มี "เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ Enron" เป็นผู้บริการองค์กรลึกลับดังกล่าวด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะ ชี้ว่า อาจจะมีการขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) เกิดขึ้น "เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ Enron" นั้น ต่อมา ก็ปรากฏว่าหาใช่ใครที่ไหน แต่คือ Fastow ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย การเงินของ Enron นั่นเอง ส่วนองค์กรลึกลับนั้นตอนนี้ก็รู้กันแล้ว ว่าคือ LJM partnerships
ลางร้ายจาก Skilling
เมื่อมาถึงกลางเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว ความน่าเชื่อถือของ Enron ก็ เริ่มสั่นคลอนอย่างหนักจนราคาหุ้น ของบริษัทเริ่มตก จากระดับ 80 ดอล ลาร์ เมื่อต้นปีที่แล้วรูดลงมาเหลือ เพียง 40 ดอลลาร์เท่านั้น ตามมาด้วย เหตุการณ์ซึ่งน่าจะเป็นลางร้ายที่ชัด เจนที่สุดที่บ่งชี้ว่า Enron กำลังมีปัญหา หนัก นั่นก็คือ Jeff Skilling ผู้เป็นซีอีโอ ประกาศลาออกท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่ว Enron ปฏิเสธว่า การลาออกของ Skilling ไม่ได้หมายความว่า บริษัทกำลังมีปัญหา ใดๆ แต่มาขณะนี้มีหลายคนเชื่อว่า Skilling น่าจะรู้ว่า ราคาหุ้นของ Enron ที่กำลังรูดลงเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อ LJM และทำให้ LJM ไม่เป็นความลับอีกต่อไป จึงชิงลาออกเสียก่อน
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้การลาออกของ Skilling จะหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ แต่ประชาชนก็ยังคงเชื่อถือถ้อยคำ ของ Enron อย่างยิ่ง เมื่อ Ken Lay กลับเข้ามารับตำแหน่งซีอีโออีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังคงได้รับความเชื่อถืออย่างเปี่ยมล้นจาก Wall Street รวมถึงพนักงานของ Enron ด้วย เมื่อ Lay พูดว่า Enron ไม่มีความไม่ชอบมาพากลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบการเงิน เรื่อง ธุรกิจค้าหลักทรัพย์ หรือความลับใดๆ ทุกคนก็เชื่อเขา Lay สัญญาว่า จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นของ Enron ด้วยการปรับปรุงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่ายังไม่เพียงพอ ในขณะที่พูดนั้น Lay ตระหนักหรือไม่ว่า เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ หรือเขาเองก็พูดไปโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อะไรเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นของ Enron คนส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต่อมา Lay จะได้รับรู้ปัญหาของ Enron แล้ว แต่เขาก็ยังคงเลือกทำตามที่ Enron ถนัด นั่นคือ เลือกที่จะปกปิดมากกว่าที่จะเปิดเผย หลังจากกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวขบวนของ Enron อีกครั้ง Lay ได้จัดแถลงข่าวในวันที่ 16 ตุลาคม ปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นวันเริ่มต้นไปสู่จุดจบของ Enron อย่าง แท้จริง เมื่อการแถลงข่าวดังกล่าว คือการแถลงผลขาดทุนถึง 618 ล้านดอลลาร์ แต่ Lay ก็ยังไม่วายปิดบังข้อเท็จจริงอื่นเอาไว้ตามสไตล์ถนัด โดยเขาไม่ยอมบอกว่า มูลค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นถืออยู่นั้นได้ลดลงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ด้วย พอมาถึงการเรียกประชุม ผู้ถือหุ้นหลังจากแถลงข่าว Lay ก็ยังคงไม่ยอมแจ้งต่อผู้ถือหุ้นว่า ขณะนั้น Moody กำลังพิจารณาลดคุณภาพหนี้สินของ Enron อยู่ (แม้ Skilling จะเคยกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกันว่า หนี้สินนอกงบดุลของ Enron นั้น เป็นประเภทที่เจ้าหนี้ "ไม่มีสิทธิไล่เบี้ย" ให้ Enron รับผิดชอบได้
แต่ในบางกรณีอย่างเช่นการถูกลดคุณภาพหนี้สินที่อยู่ในงบดุลจนอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับน่าลงทุน Enron ก็อาจต้องถูกบังคับให้จ่ายหนี้นอกงบดุลได้) ยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีมาก เท่าไร ดูเหมือนกลับยิ่งทำให้ Enron ถอยห่างจากคำมั่นสัญญาที่ จะปรับปรุงเรื่องความโปร่งใสของบริษัทออกไปทุกที Enron อ้างว่า สาเหตุที่มูลค่าหุ้นของผู้ถือหุ้นลดลงอย่างมากนั้นเป็นเพราะ "การเลิกกิจการก่อนเวลาอันควร" ของห้างหุ้นส่วน LJM ซึ่งเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างอ่อน และไม่เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนพอใจได้ โดยเฉพาะ เมื่อหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal เริ่มขุดคุ้ยข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ LJM และพบข้อเท็จจริงว่า Fastow ได้รับค่าตอบแทนไปหลายล้าน ในขณะที่นั่งแป้นผู้บริหาร LJM อยู่ กระทั่งวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา Lay ยังคงยืนยันว่า Enron มีกระแสเงิน สดเป็นปกติ และธุรกิจของบริษัทยังคง "ดำเนินไปอย่างดีมาก" และยืน ยันว่า Fastow เป็นผู้ที่ยืนหยัดในความคิดของตนและไม่น่าจะต้องมา เสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเหตุนี้ ทว่าในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง Enron ก็ประกาศว่า Fastow จะลาหยุดงานไปสักพักหนึ่ง มาถึงขณะนี้เรารู้กันแล้วว่า ธุรกรรมที่ Enron ทำกับ "องค์กร อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อรายได้ของ Enron
วันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ข้อมูลจากเอกสารฉบับหนึ่งได้เปิดเผยให้นักลงทุนรู้ว่า Enron กำลังทบทวนรายได้ในอดีตตลอด 4 ปี กับ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา เพราะ "มีองค์กร 3 องค์กรที่มิได้บันทึกลงในงบการเงิน และควรจะนำมาบันทึกลงในงบการเงิน เพื่อให้ถูกต้อง ตามหลักการทางบัญชีที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป" การทบทวนดังกล่าวส่งผลให้รายได้ของ Enron ลดลงถึงเกือบ 600 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 15%
นอกจากนี้ เอกสารฉบับดังกล่าวยังเตือนเป็นนัยๆ ว่า ข่าว ร้ายอาจยังไม่จบสิ้น Enron อาจจะค้นพบ "ข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อมูล ที่แตกต่าง" ไปจากที่เคยรายงานไว้ในงบการเงินอีก นักลงทุนที่ได้พิจารณารายการธุรกรรมระหว่าง Enron กับบรรดา "องค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" อย่างละเอียด นอกจากจะไม่ได้ความกระจ่างว่าเกิดอะไร ขึ้นกับ Enron แล้ว กลับยิ่งมึนงงสงสัยและเกิดคำถามใหม่อีกมากมาย มีการคาดเดาว่า บรรดาห้างหุ้นส่วนเหล่านั้นคงจะใช้เป็นที่สำหรับผ่องถ่ายรายได้ของ Enron
สมมติฐานนี้ยิ่งนำไปสู่คำถามอื่นๆ ต่อไปอีกเช่น หาก Enron เลิกเล่มเกมและกลับตัวกลับใจมาทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมา บริษัทจะยังคงอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ หรือจริงๆ แล้ว Enron ไม่สามารถจะกลับมาเล่นแบบตรงไปตรงมาได้อีกแล้ว เพราะเรื่องจริงๆ ที่ยังคง รอการเปิดเผยต่อไปนั้น อาจจะทำให้เราช็อกกันได้ยิ่งกว่า
ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
Enron ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย (Chapter 11) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ทั้งๆ ที่ 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น Dynegy บริษัทคู่แข่งรายหนึ่งของ Enron ทำท่าว่าจะเข้ามาช่วยกอบกู้บริษัทของศัตรู ด้วยการอัดฉีดเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมีสิทธิเหนือธุรกิจท่อก๊าซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Enron คือ Northern Natural Gas เป็นหลักประกันการชำระหนี้ แล้วจากนั้นจะซื้อ Enron ทั้งหมดด้วยเงินประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์ (ไม่รวมหนี้สิน)
แต่แล้วในวันที่ 28 พฤศจิกายน Dynergy กลับล้มเลิกแผน การกอบกู้ Enron ในวันเดียวกันนั้น Standard & Poor's ได้ประกาศลด คุณภาพหนี้สินของ Enron ลงต่ำกว่าระดับน่าลงทุน ส่งผลให้ Enron ต้องจ่ายคืนหนี้นอกงบดุลจำนวนเกือบ 4 พันล้านดอลลาร์ในทันที ซึ่ง Enron หมดปัญญาที่จะจ่าย และไม่มีทางเลือกนอกจาก Chapter 11
สาเหตุที่ Dynegy ตัดสินใจล้มกระดานแผนการกอบกู้ Enron ในครั้งนี้ อาจเป็นเพราะ "ปริศนา ของเงินที่หายไป" ทนาย Ken Randolph กล่าวว่า ทาง Dynegy คาดหวังว่า Enron คงจะมีเงินสดประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับเป็นที่เปิดเผยในวันที่ 19 พฤศจิกายนว่า Enron มีเงินสดจริงเพียงประมาณกว่า 1 พัน ล้านเล็กน้อยเท่านั้น "เรากลับไปที่ Enron เพื่อถามว่าเงินหายไปไหนหมด" Chuck Watson ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dynegy เล่า "บางทีอาจ เป็นเพราะธุรกิจหลักของ Enron หาได้ แข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาพยายาม ทำให้เราเข้าใจไม่" เป็นความเห็นของ Randolph
เรื่องราวของ Enron คงจะจบลงที่ศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เดียวกันที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ที่มีปัญหาทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Fitch ได้ประเมินว่า เจ้าหนี้ของ Enron อาจได้รับเงินคืนเพียงประมาณ 20% ถึง 40% เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการต่อสู้แย่งชิงของบรรดาเจ้าหนี้ของ Enron จะไม่เป็นไปอย่างดุเดือด แต่กว่าจะจบก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ Enron เอง ยังไม่ได้ยอมแพ้แต่อย่างใด เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ Enron คือ J.P. Morgan Chase และ Citigroup ได้อัดฉีดเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ให้แก่ Enron แล้ว ซึ่งคงจะทำให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างน้อยก็สักพักหนึ่ง
ในขณะที่ Enron ก็ยังคงดิ้นรนเสาะหาสถาบันการเงินที่จะมาช่วยสนับสนุนให้สามารถฟื้นธุรกิจค้าหลักทรัพย์ของตนได้อีก ครั้ง การยื่นคำร้องขอเข้าสู่กระบวนการล้มละลายตามมาตรา 11 ของ Enron จะมีผลหยุดยั้งคดีฟ้องร้องที่มีต่อ Enron ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ จนกว่ากระบวนการล้มละลายจะผ่านพ้น แต่ถ้าหาก Enron จะขอความคุ้มครองจากกฎหมายให้ปกป้องผู้บริหารของตนด้วย ทนายความหลายคนเชื่อว่าน่าจะไม่สำเร็จ บรรดาผู้บริหารของ Enron คงจะต้องต่อสู้คดีถ้าหากถูกฟ้อง บางคนคิดว่าอดีตผู้บริหาร Enron อย่าง Skilling และ Fastow น่าจะโดนคดีอาญาด้วย แต่ทนาย ความที่มีชื่อเสียงอย่าง Ira Sorkin ชี้ว่า คดีอาญาต้องการหลักฐานที่มีมาตรฐานสูงกว่าคดีแพ่งมาก และจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าอดีต ผู้บริหารเหล่านั้น "บริหารผิดพลาดโดยเจตนา"
นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถจะอ้าง Arthur Anderson บริษัทสอบบัญชีของ Enron เป็นโล่ได้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ต้องผ่านการตรวจสอบ ของ Arthur Anderson ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม Enron เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต่อพนักงานและผู้ถือหุ้น ผู้ได้ มอบความเชื่อถือไว้วางใจในตัว ผู้บริหาร คณะกรรมการบริษัทและผู้สอบบัญชีว่า จะสามารถดูแลปกป้องงานและเงินของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่า ผู้บริหารของ Enron จะถูกตัดสินว่าผิดหรือไม่ก็ตาม หลายๆ คนก็รู้สึกว่า อาชญากรรมได้เกิดขึ้นแล้ว
*****************
แปลและเรียบเรียงจาก FORTUNE December 24/2001
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
source: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=33413
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
10 พฤติกรรมการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการทำกำไร
10 พฤติกรรมการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการทำกำไร และ 10 พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาด
http://www.tsi-thailand.org/newsletter/version3/2012/Inactive/website/TSIHighlight.html
http://www.tsi-thailand.org/newsletter/version3/2012/Inactive/website/TSIHighlight.html
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ปลูกอะไร ได้แบบนั้น
เมื่อเราเดินทางบนถนนที่มีชื่อว่า
“ชีวิต”
สมมุติว่าเราปลูกต้นไม้ตลอดทางเดิน
และทุกๆต้นที่เราปลูกก็มักจะให้ผลที่แตกต่างกัน .. หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ
“CEO คนต่อไป” แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ....
เรื่องราวต่อไปนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านครับ
นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งเริ่มจะชราภาพ เขารู้ตัวดีว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเลือกคนที่จะมาสืบทอดธุรกิจต่อไป
แทนที่จะเลือกผู้ช่วยหรือลูกๆของเขา... เขากลับเลือกทางที่แตกต่างออกไป นั้นก็คือ การเรียกกลุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ในบริษัทของตัวเองมาประชุมพร้อมกัน
เขากล่าวว่า “เวลานี้เป็นเวลาที่ผมควรจะลงจากตำแหน่งและเลือก CEO คนต่อไป ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกหนึ่งในพวกคุณ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ผมจะให้เมล็ดพันธุ์แก่พวกคุณทุกคนในวันนี้ เพื่อให้คุณเอาเมล็ดพวกนี้ไปปลูกต่อไป
และนำมันกลับมาให้ผมในอีก 1 ปีข้างหน้า และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่คุณนำมาในวันนั้น”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นชื่อว่า ‘จิม’ ได้รับเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับคนอื่น
จิมนำมันกลับบ้าน พร้อมกับเล่าให้ภรรยาของเขาฟัง ... เธอช่วยจิมปลูกต้นไม้ต้นนั้น
รดน้ำให้มันทุกวัน...
ทุกๆวันจิมมักจะรอคอยการเติบโตของต้นไม้ต้นนี้ ...สามอาทิตย์ถัดมา ทุกๆคนเริ่มที่จะพูดถึงต้นไม้ของตัวเอง ว่ามันเติบโตอย่างไร
แต่สำหรับต้นไม้ของจิมนั้น มันไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยสักนิดเดียว... สี่อาทิตย์ผ่านไป ต้นไม้ของจิมก็ยังคงเหมือนวันแรกที่เขาปลูกมันลงไป
อาทิตย์ที่ห้า ... ทุกๆคนยังพูดถึงการเจริฐเติบโตของต้นไม้ตนเอง ...จิมเริ่มรู้สึกเหมือนคนพ่ายแพ้
หกเดือนผ่านไป .. เขารู้สึกเหมือนโดนทำลายอาชีพการงานโดยต้นไม้ต้นนี้ ในขณะที่ต้นไม้ของคนอื่นๆ
เริ่มที่จะมีใบไม้ เติบโตเป็นต้นไม้เตี้ยๆ
จิมเลือกที่จะไม่พูดถึงต้นไม้ของเขาให้เพื่อนๆฟัง ได้แต่คอยรดน้ำมันเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะติบโตอย่างของคนอื่นบ้าง
ในที่สุดก็ถึงวันครบรอบ 1 ปีที่พวกเขาต้องนำต้นไม้ของตนเองมาโชว์
จิมบอกกับภรรยาของเขาว่า เขาจะไม่เอากระถางเปล่าๆไปโชว์อย่างแน่นอน แต่เธอกลับบอกให้จิมซื้อตรงและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จิมรู้ดีว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่น่าอายที่สุดในชีวิตของเขา เขาเชื่อภรรยา ... และนำกระถางเปล่าๆไปยังที่ทำงาน
เมื่อจิมไปถึงที่ทำงาน เขาปละหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าต้นไม้ที่เพื่อนๆนำมานั้น สวยงามอีกทั้งยังมีรูปทรงที่ดี จิมวางประถางของเขาลงบนพื้น หลายๆคนหัวเราะให้กับกระถางเปล่าๆของจิม
เมื่อ CEO มาถึง ในขณะจิมพยายามซ่อนกระถางของเขาไว้ด้านหลัง
“สวยงามมาก ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ที่คุณได้ปลูกกัน วันนี้เป็นวันที่หนึ่งในพวกคุณจะถูกเลือกให้เป็น CEO”
ทันใดนั้น เขาเหลือบไปเห็นกระถางที่ว่างเปล่าของจิม เขาสั่งให้กรรมการบริษัทนำกระถางนั้นมาวางไว้หน้าห้อง จิมรู้สึกหวาดหวั่นและคิดว่า CEO คงจะไล่เขาออกแน่ๆ และคิดว่าเขาเป็นคนล้มเหลว
CEO ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ...จิมเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
เขาสั่งให้คนอื่นๆนั่งลงและเคารพจิม จากนั้นเขาก็ประกาศให้จิมเป็น CEO คนใหม่
และกล่าวต่อไปว่า “ หนึ่งปีที่แล้ว ผมให้เมล็ดแก่พวกคุณ และบอกให้พวกคุณทุกคนนำมันไปปลูก แต่ผมให้เมล็ดที่ต้มแล้ว เมล็ดทั้งหมดตายแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะโต
พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม ได้นำต้นไม้เหล่านี้มาให้ผม เพราะคุณทราบว่าเมล็ดที่ผมให้มันไม่งอก จิมเป็นคนเดียงที่กล้าและซื่อสัตย์พอ ที่จะนำเมล็ดที่ผมให้กลับมา”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราปลูกความซื่อสัตย์ เราก็จะได้ความเชื่อใจกลับมา
คงเหมือนคำโบราณที่ว่าไว้ว่า “ชีวิตของเรา ปลูกอะไรก็จะได้แบบนั้น”
และทุกๆต้นที่เราปลูกก็มักจะให้ผลที่แตกต่างกัน .. หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ
“CEO คนต่อไป” แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ....
เรื่องราวต่อไปนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านครับ
นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งเริ่มจะชราภาพ เขารู้ตัวดีว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเลือกคนที่จะมาสืบทอดธุรกิจต่อไป
แทนที่จะเลือกผู้ช่วยหรือลูกๆของเขา... เขากลับเลือกทางที่แตกต่างออกไป นั้นก็คือ การเรียกกลุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ในบริษัทของตัวเองมาประชุมพร้อมกัน
เขากล่าวว่า “เวลานี้เป็นเวลาที่ผมควรจะลงจากตำแหน่งและเลือก CEO คนต่อไป ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกหนึ่งในพวกคุณ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ผมจะให้เมล็ดพันธุ์แก่พวกคุณทุกคนในวันนี้ เพื่อให้คุณเอาเมล็ดพวกนี้ไปปลูกต่อไป
และนำมันกลับมาให้ผมในอีก 1 ปีข้างหน้า และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่คุณนำมาในวันนั้น”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นชื่อว่า ‘จิม’ ได้รับเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับคนอื่น
จิมนำมันกลับบ้าน พร้อมกับเล่าให้ภรรยาของเขาฟัง ... เธอช่วยจิมปลูกต้นไม้ต้นนั้น
รดน้ำให้มันทุกวัน...
ทุกๆวันจิมมักจะรอคอยการเติบโตของต้นไม้ต้นนี้ ...สามอาทิตย์ถัดมา ทุกๆคนเริ่มที่จะพูดถึงต้นไม้ของตัวเอง ว่ามันเติบโตอย่างไร
แต่สำหรับต้นไม้ของจิมนั้น มันไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยสักนิดเดียว... สี่อาทิตย์ผ่านไป ต้นไม้ของจิมก็ยังคงเหมือนวันแรกที่เขาปลูกมันลงไป
อาทิตย์ที่ห้า ... ทุกๆคนยังพูดถึงการเจริฐเติบโตของต้นไม้ตนเอง ...จิมเริ่มรู้สึกเหมือนคนพ่ายแพ้
หกเดือนผ่านไป .. เขารู้สึกเหมือนโดนทำลายอาชีพการงานโดยต้นไม้ต้นนี้ ในขณะที่ต้นไม้ของคนอื่นๆ
เริ่มที่จะมีใบไม้ เติบโตเป็นต้นไม้เตี้ยๆ
จิมเลือกที่จะไม่พูดถึงต้นไม้ของเขาให้เพื่อนๆฟัง ได้แต่คอยรดน้ำมันเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะติบโตอย่างของคนอื่นบ้าง
ในที่สุดก็ถึงวันครบรอบ 1 ปีที่พวกเขาต้องนำต้นไม้ของตนเองมาโชว์
จิมบอกกับภรรยาของเขาว่า เขาจะไม่เอากระถางเปล่าๆไปโชว์อย่างแน่นอน แต่เธอกลับบอกให้จิมซื้อตรงและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จิมรู้ดีว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่น่าอายที่สุดในชีวิตของเขา เขาเชื่อภรรยา ... และนำกระถางเปล่าๆไปยังที่ทำงาน
เมื่อจิมไปถึงที่ทำงาน เขาปละหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าต้นไม้ที่เพื่อนๆนำมานั้น สวยงามอีกทั้งยังมีรูปทรงที่ดี จิมวางประถางของเขาลงบนพื้น หลายๆคนหัวเราะให้กับกระถางเปล่าๆของจิม
เมื่อ CEO มาถึง ในขณะจิมพยายามซ่อนกระถางของเขาไว้ด้านหลัง
“สวยงามมาก ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ที่คุณได้ปลูกกัน วันนี้เป็นวันที่หนึ่งในพวกคุณจะถูกเลือกให้เป็น CEO”
ทันใดนั้น เขาเหลือบไปเห็นกระถางที่ว่างเปล่าของจิม เขาสั่งให้กรรมการบริษัทนำกระถางนั้นมาวางไว้หน้าห้อง จิมรู้สึกหวาดหวั่นและคิดว่า CEO คงจะไล่เขาออกแน่ๆ และคิดว่าเขาเป็นคนล้มเหลว
CEO ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ...จิมเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
เขาสั่งให้คนอื่นๆนั่งลงและเคารพจิม จากนั้นเขาก็ประกาศให้จิมเป็น CEO คนใหม่
และกล่าวต่อไปว่า “ หนึ่งปีที่แล้ว ผมให้เมล็ดแก่พวกคุณ และบอกให้พวกคุณทุกคนนำมันไปปลูก แต่ผมให้เมล็ดที่ต้มแล้ว เมล็ดทั้งหมดตายแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะโต
พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม ได้นำต้นไม้เหล่านี้มาให้ผม เพราะคุณทราบว่าเมล็ดที่ผมให้มันไม่งอก จิมเป็นคนเดียงที่กล้าและซื่อสัตย์พอ ที่จะนำเมล็ดที่ผมให้กลับมา”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราปลูกความซื่อสัตย์ เราก็จะได้ความเชื่อใจกลับมา
คงเหมือนคำโบราณที่ว่าไว้ว่า “ชีวิตของเรา ปลูกอะไรก็จะได้แบบนั้น”
- ที่มา
www.millionairacts.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)