หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ฉากเดิม เหตุผลใหม่

คอลัมน์ วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 , หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น

การขายทิ้งหุ้นแบบเทกระจาดของกองทุนเก็งกำไรทั่วโลกในตลาดเอเชียครั้งล่าสุดนี้ติดกัน 2 วัน มีลักษณะเหมือนกับการฉายหนังซ้ำเหมือนกับสถานการณ์เมื่อปลายเดือนมีนาคมต่อเมษายนยาวนา 3 สัปดาห์ กล่าวคือ เป็นการถอนตัวจากตลาดเอเชียเพื่อเอาเงินเก็งกำไรกลับไปยังตลาดสหรัฐ แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน
ครั้งเดือนมีนาคม-เมษายนนั้น อ้างเหตุผลว่า เป็นเพราะหวาดกลัวว่า เฟดฯ จะลดการพิมพ์ธนบัตรในมาตรการ QE ลง ทำให้ซึ่งจะยังผลให้ ภาระหนี้เอกชนที่เฟดฯ แบกรับอยู่จะกลับคืนสู่ต้นทาง รัฐไม่ต้องแบกเหมือนใน 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้การเคลื่อนย้ายทุนเก็งกำไรจากตลาดเอเชียไปสู่สหรัฐ โดยย้ายจากตลาดหุ้นไปสู่ตลาดตราสารหนี้
ครั้งนี้ อ้างเหตุผลอีกแบบหนึ่ง คือ เศรษฐกิจเอเชียหลายประเทศ เข้าข่ายขาลง หรือชะลอตัวลง จนกระทั่งปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ จะต้องมีมูลค่าต่ำลงไปจนไม่คุ้มกับการเสี่ยงลงทุนอีกต่อไป โดยยกเหตุผลจากการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในหลายประเทศ เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และไทย เป็นเหตุสำคัญ
เหตุผลที่เชื่อมโยงตัวเลขเศรษฐกิจประเทศ เข้ากับการขายหุ้นทิ้งในตลาด ถูกนำมาเชื่อมโยงด้วยตรรกะที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์ก็นำไปใช้อ้างกันอย่างแพร่หลาย โดยไม่ต้องรู้สึกว่าผิดถูกอย่างใด เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงความชอบธรรมของการถอนตัวของทุนเก็งกำไรต่างชาติว่าแสดงถึงความไม่ไว้วางใจต่อเศรษฐกิจของเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่ (ไม่นับญี่ปุ่นและสิงคโปร์) เป็นตลาดเงินของชาติกำลังพัฒนาที่มีขนาดเล็ก และมีเกราะกำบังป้องกันตัวเองต่ำเพราะขาดประสบการณ์ในการรับมือการไหลเข้าและไหลออกของทุนเก็งกำไร
มุมมองว่าตลาดเก็งกำไรในเอเชีย ให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากลับไปยังสหรัฐ อาจจะเป็นได้ทั้งมายาคติ หรือเป็นข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียว ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่กระต่ายที่ตื่นตูม ก็พากันขายอย่างจริงจัง โดยใช้คำกล่าวอ้างถึงการปรับลดประมาณการของเศรษฐกิจเอเชียโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 0.3% จากเดิม 7.2%
ในกรณีของไทยนั้น ปี 2555 ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 7 หมื่นกว่าล้านบาท แต่จนถึงล่าสุดในปีนี้ ได้กลายเป็นขายสุทธิไปแล้ว ทำให้เงินลงทุนสุทธิติดลบ 3.6 พันล้านบาทเมื่อสิ้นการซื้อขายวันจันทร์ที่ผ่านมา ยังขายต่อเมื่อวานนี้อีกถึง 1 หมื่นกว่าล้านบาท เรียกว่าขายจนเกลี้ยงพอร์ต แล้วยังยืมมาขายเพิ่มจากที่มีอยู่เดิมอีก ถือเป็นการถอนตัวอย่างสิ้นเชิงของต่างชาติทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การถอนตัวนำเงินกลับของต่างชาติ จะทำให้เมื่อวานนี้ ค่าเงินบาทไทยอ่อนยวบในรอบ 1 ปี ขึ้นไปเหนือ 31.60 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสจะร่วงต่อไปที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ได้ง่ายๆในสัปดาห์นี้
โดยข้อเท็จจริง การถอนตัวของตลาดหุ้นเอเชียของกองทุนเก็งกำไร ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ตกต่ำลงไปถึง 7.7% มากกว่าการตกต่ำของดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลงไปแค่ 1.2% และดัชนี Stoxx Europe 600 ที่ร่วงลงไป 1.6%
กองทุนเก็งกำไรในตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯผ่านกองทุน ETFs มีมูลค่ามากถึง 155.6 แสนล้านดอลลาร์ แต่มาลงทุนในเอเชียประมาณ 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 0.05% การถอนตัวเพียงเล็กน้อยของกองทุนที่กระจายในตลาดเอเชีย อาจจะไม่กระทบกับตลาดจีน หรือญี่ปุ่นมากนัก แต่สำหรับตลาดทุนขนาดเล็กอย่างอาเซียน ถือว่ารุนแรงทีเดียว เพราะกองทุนเก็งกำไรต่างชาติพวกนี้ ถูกถือเป็นกลุ่มขับเคลื่อนตลาดที่มีน้ำหนักชี้นำมากในสายตาของนักวิเคราะห์ท้องถิ่น
การเหวี่ยงกลับของกองทุนเก็งกำไรต่างชาติในช่วงล่าสุดเดือนสิงหาคม ที่มีทิศทางตรงกันข้ามกับไตรมาสแรกของปีนี้  ทำให้ชะตากรรมของตลาดเกิดใหม่ในอาเซียนผกผันยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ด้านหนึ่งมีผลทำให้ ราคาหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกเทกระจาดขาย กลับมามีราคาต่ำกว่าพื้นฐาน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนตัวของกองทุนเก็งกำไรที่ส่งผลสะเทือนสูงเหล่านี้ เป็นการเคลื่อนตัวของทุนส่วนเกินที่มุ่งแสวงหากำไรจากการโฉบเฉี่ยวไปมาโดยที่ไม่มีความเชื่อมโยงกัยฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆมากมาย การไหลเข้าไปตลาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่า เศรษฐกิจประเทศนั้นมีความโดดเด่น หากไหลออกก็ไม่ได้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของประเทศนี้ใกล้พังทลาย
กระบวนทัศน์ในการมองทิศทางของตลาดทุน และตลาดตราสารหนี้ในโลก รวมทั้งตลาดปริวรรตเงินตรา จึงต้องยืดหยุ่นตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง
ในกรณีของตลาดหุ้นไทย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถือว่ายังคงแข็งแกร่งยิ่งนัก กำไรครึ่งแรกของปีที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 17% แม้ว่าจะถูกถ่วงน้ำหนักจากผลพวงของค่าเงินบาทแข็งเกิน และการปรับฐานสู่ระดับปกติหลังจากที่มีการอัดฉีดเกินปกติของนโยบายรัฐบาลหลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ก็ถือได้ว่า การบิหารจัดการของผู้ประกอบการยืดหยุ่นกับสภาพอย่างแข็งแกร่ง
ข้อสรุปจาก ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นกลาง หลังจากการเปิดเผยตัวเลข จีดีพีไตรมาส 2 ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล และยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤตที่รุนแรง  จึงอาจจะสร้างขวัญและกำลังใจให้นักลงทุนได้บ้าง
ปล่อยให้ต่างชาติถอนตัวออกไปให้หมด จะได้ไม่ต้องกังวลว่าพวกนี้จะขายออกไปอีกกี่มากน้อย เพื่อจะไม่ต้องดูหนังน้ำเน่าซ้ำซาก


ขอขอบคุณที่มา: http://www.kaohoon.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น