นักเศรษฐศาสตร์ชี้หมดยุค
"บาทอ่อน" เงินทะลักอย่างน้อย2ปี-แนะรัฐบาลเร่งลงทุนเมกะโปรเจค
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน)(BBL) กล่าวว่า
แนวโน้มค่าเงินบาทจะยังแข็งค่าต่อเนื่องในระยะยาว
เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดี สภาพคล่องล้น
โดยนักลงทุนต้องแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ซึ่งไทยยังน่าสนใจ
และการที่เงินบาทแข็งค่าในรอบนี้จะมีความแตกต่างจากอดีต
โดยปกติค่าเงินไทยจะแข็งค่าตามประเทศภูมิภาคเอเชีย แต่รอบนี้
ไทยกลับแข็งค่าขึ้นมาก่อนประเทศอื่นๆ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งสถานการณ์ก็จะคลี่คลาย
จึงไม่ควรกังวล
"เงินบาทขณะนี้มีความผันผวนในระยะสั้น
อย่าตื่นตกใจการที่แข็งค่าไปจนถึงระดับ 29.67 บาทต่อดอลลาร์
เกิดจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเมื่อเงินบาทแข็งค่าผู้ส่งออกไทย
ก็ต้องปิดความเสี่ยงโดยเฉพาะช่วงที่ทะลุ 30 บาท
พอทุกคนแห่ไปปิดความเสี่ยงพร้อมๆ กัน ก็ทำให้ค่าขึ้นแข็งค่าขึ้นไปอีก
ดังนั้นแนวโน้มค่าเงินบาท ก็ยังแข็งค่าต่อไป เพราะสภาพคล่องล้น
นักลงทุนนำเงินเข้ามาเก็งกำไรกัน จึงเชื่อว่าค่าเงินบาทที่ระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ คงไม่ได้เห็นกันแล้ว"
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเงินบาทแข็งค่า
ธปท.คงต้องติดตามดูแลใกล้ชิด และการใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ย
คงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ เพราะสาเหตุของเงินบาทแข็งค่า
เกิดจากมีเงินไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมาก
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ปัจจัยที่สำคัญในการผลักดันให้เติบโตได้ดี
เป็นเรื่องของการลงทุนในประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีเช่นกันทั้งยุโรปและสหรัฐ
มีความเสี่ยงลดลงหากเทียบกับปีก่อน
"ศุภวุฒิ"คาดเงินไหลเข้าอย่างน้อย2ปี
ด้าน นายศุภวุฒิ สายเชื้อ
กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า
ดอกเบี้ยอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เป็นตัวดึงดูดให้เงินทุนไหลเข้าในประเทศก็จริง
แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ดึงดูดด้วย เช่น เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตดี
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
รวมถึงบรรยากาศการลงทุนในขณะนี้ที่ถูกผลักดันให้นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงขึ้น
(Risk
on) ตลอดจนการเกิดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังมีอยู่พอประมาณ
ปัจจัยเหล่านี้น่าจะเป็นตัวกดดันให้มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
หรืออย่างน้อยใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเรื่องนี้ทาง
บล.เมอร์ริล ลินช์ ที่เป็นพันธมิตรของ บล.ภัทร ประเมินว่า
ค่าเงินบาทไทยมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28
บาทต่อดอลลาร์ได้ในปลายปีนี้ และอาจเห็นเงินบาทแตะระดับ 27
บาทต่อดอลลาร์ได้ในปีหน้า
"เวลานี้ที่ธนาคารกลางทั่วโลกทำ
คือ กดดอกเบี้ยต่ำ แล้วพิมพ์เงินออกมาเยอะๆ คำถาม คือ
เราจะตั้งดอกเบี้ยให้สูงกว่าเขาได้หรือไม่
และทำไปแล้วจะมีความเสี่ยงว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาหรือไม่
เพราะเราเป็นประเทศเศรษฐกิจเล็กและเปิด มันมีความเสี่ยงตลอดเวลา
ถ้าเขามองเศรษฐกิจเราดี ดอกเบี้ยน่าสนใจ เงินก็จะยิ่งไหลเข้ามามาก"นายศุภวุฒิ
กล่าว
สวค.เผยบาทแข็งไม่เกิน3%ไม่น่าห่วง
ด้าน นายคณิศ แสงสุพรรณ
ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวว่าการที่เงินบาทแข็งค่า
น่าจะทำให้บริษัทส่งออกได้รับผลกระทบระยะสั้น แต่ระยะยาวคงต้องพิจารณาอีกครั้ง
และเชื่อว่า ธปท.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดูแลได้
โดยมองหากค่าเงินบาทแข็งค่าไม่เกินระดับ 3%
ก็มองว่าไม่น่าเป็นห่วง
"ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราเติบโต
5-5.5% และอัตราเงินเฟ้อก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 3% ขณะที่ตัวเลขการส่งออกจะเติบโต 6-7%
และการค้าแถบชายแดนเป็นกำลังซื้อแฝงที่จะช่วยผลักดันให้เติบโตได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามหากรัฐ มีการลงทุนขนาดใหญ่ 2
ล้านล้านบาทเกิดขึ้นอาจทำให้ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลจำนวนมากแต่ไม่อยากให้ตื่นตระหนกเพราะต่อไปเมื่อทุกอย่างเข้าที่
การลงทุนครั้งนี้จะสามารถผลักดันให้จีดีพีโตได้ถึง 6%" นายคณิศ
กล่าว
แนะรัฐเร่งลงทุน-หั่นประชานิยม
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา
กล่าวว่า ประเทศไทยคงหนีปัญหาเรื่องเงินทุนไหลเข้าไม่พ้นอย่างแน่นอน
เพราะเวลานี้ธนาคารกลางประเทศหลักทั่วโลกพิมพ์เงินออกมารวมๆ กันแล้วสูงกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
ซึ่งการจัดการปัญหาในขณะนี้ยังเป็นเพียงการตามแก้ปัญหาเท่านั้น
ยังขาดการดำเนินการในการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ
"จะเห็นว่าตอนนี้มีหลายเรื่องเข้ามากระทบผู้ประกอบการของไทยค่อนข้างมาก
ทั้งเรื่องค่าแรง 300 บาท ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น
แต่การแก้ปัญหาของเราก็เป็นแบบการตามแก้ ยังไม่เห็นการจัดการแบบบูรณาการ"
นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
สิ่งที่เป็นห่วงมากสุดในเวลานี้
คือ งบในการลงทุนของภาครัฐมีน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่หมดไปกับโครงการประชานิยม
และถ้าดูตัวเลขการลงทุนของประเทศไทย
ยังเป็นเพียงประเทศเดียวที่สัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
โดยในปี 2540 ประเทศไทยเคยมีสัดส่วนการลงทุนสูงถึง 70% ของจีดีพี
"สิ่งที่จะช่วยได้ คือ
รัฐบาลควรต้องตัดงบรายจ่ายประจำออก โดยเฉพาะรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับประชานิยม
เพราะทำให้งบที่เหลือไปใช้เพื่อการลงทุนมีน้อยลง"นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
คาดบาทปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.7
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น จากปัจจัยฐานในปีที่แล้วขยายตัวในอัตราต่ำ
ซึ่งเป็นผลจากปัญหาอุทกภัย
ประกอบกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ส่งสัญญาณขยายตัวต่อเนื่อง
ทั้งการใช้จ่ายภายในประเทศและการส่งออก รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูงมาก
ทั้งนี้ สศค.ประเมินว่า ในไตรมาส 4 ดังกล่าว เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 15.9%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัวติดลบ 8.9%
และเมื่อรวมกับ 3 ไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 2.6% จะทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยทั้งปีอยู่ที่เป้าหมายเดิม คือ 5.7%
การขยายตัวเศรษฐกิจปี 2556 นั้น สศค.ยังประเมินที่ 5%
ภายใต้สมมติฐานที่มูลค่าการส่งออกขยายตัว 10%
ขณะที่มองการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงต้นปีนี้
ยังไม่กระทบต่อมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะเงินบาทยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่
สศค.ประเมินไว้ สศค.จะประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปีอีกครั้งในเดือนมี.ค. นี้
"จีดีพีในปีนี้ สศค.ยังมองที่ 5% แม้ว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มากกว่าที่ประมาณการไว้
โดยปีนี้เรามองว่าบาทต่อดอลลาร์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 30.7 หรือ
มีช่วงคาดการณ์ที่ 29.70- 31.70 ทำให้ยังไม่ได้ปรับประมาณการจีดีพี"
นายเอกนิติ กล่าว
ทั้งนี้ เหตุที่ประเมินว่า
การส่งออกยังสามารถขยายตัวได้ดี
เพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ประเมินว่า ยังมีการเติบโตที่ 3.7%
สำหรับค่าเงินบาทในขณะนี้ค่อนข้างผันผวน
แต่ยังเคลื่อนไหวตามภูมิภาค เพราะเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐและยุโรปยังมีปัญหา
และทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมทั้งไทยด้วย
แต่เมื่อใดที่ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวมีมากขึ้น
เงินทุนก็พร้อมที่จะไหลกลับ
ดังนั้น
ทิศทางสถานการณ์เงินบาทก็ค่อนข้างจะผันผวน ดังนั้น จึงต้องเตรียมพร้อมที่จะรองรับ
โดยแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดแรงกดดัน คือ การเร่งลงทุน
ทั้งนี้ โมเดลที่
สศค.นำมาคำนวณผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ คือ กรณีเงินบาทแข็งค่า 1% จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3%
ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกลดลง 0.4%
แต่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง 0.2%
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น