หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

กฏการเทรด 10 ข้อ และการอยู่รอดในตลาด ที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ


อ่านแล้วรู้สึกว่าดีก็เอามาแชร์ให้อ่าน หลายท่านคงเคยอ่านแล้วแต่ผมเพิ่งอ่านเจอ คงมีอีกเยอะที่ไม่เคยอ่าน

กฎของ LARRY

1). ความอยู่รอดคือจุดเริ่มต้น การเก็งกำไรเป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงมากๆ มันไม่เกี่ยวว่า เราจะชนะ หรือแพ้ มันเกี่ยวกับคำว่าเราจะอยู่รอดอย่างไร เมื่อตลาดอยู่ที่จุดต่ำๆ หรือจุดสูงๆ ถ้าคุณอยู่รอดไม่ได้ คุณไม่สามารถชนะได้ อย่างแรกสุดของการอยู่รอด คุณต้องมีแนวทาง หรือวิธีการเก็งกำไรที่ทำได้จริง ข่าวลือ วงใน ความรู้สึกไม่ใช่แนวทางการเก็งกำไร โอกาสหรือพื้นที่ในการเก็งกำไรจะมาจากความจริงที่สามารถทำได้จริง นักเก็งกำไรระยะสั้น และระยะยาวอาจมีแนวทางการทำกำไรต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือวิธีการ และเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาเยอะมากในการซื้อ laptop แต่ตัดสินใจเร็วมากในการวางเงินเดิมพันจริงๆ ในตลาดทุน ปัญหาโดยทั่วไป คือมีเทคนิคเยอะมากที่มันใช้ทำเงินจริงๆไม่ได้ เขาแนะนำได้อย่างนึงคือ คุณต้องใช้เวลาให้มากหน่อยในการเรียนรู้ และตัดสินใจในการเข้าเก็งกำไร ในช่วงวิกฤตต่างๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะมี การบริหารเงินที่ดี MM มีระบบที่ดี มีรูปแบบการเก็งกำไรที่ทำได้จริง แต่คุณก็ยังต้องควบคุมตัวเองให้ได้อยู่ดี

2). ทั้งหมดนี้ มันคือเกมส์ของอารมณ์ และมันจะเป็นไปตลอด อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกี่ยวข้องกับเงิน และยิ่งเป็นเงินของเรา มันทำให้เราตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ความกลัว อารมณ์ต่างๆทำให้นักเทรดเดอร์ทั้งหลายพลาดกับการลงทุนที่ดี หรือเขาเดิมพันที่สูงมาก เมื่อการบริหารเงินถูกคอบงำโดยอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผล

3). ความโลภ เมื่อความโลภมีผลต่อเรามากกว่าความกลัว มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะมีความกลัวลดลงกว่าคนทั่วไป เพราะคุณถูกดึงดูดในเรื่องการทำเงินให้ได้ ในขณะที่คนอื่นจะกลัวการขาดทุน ความโลภเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดทั่วไป ความโลภจะทำให้คุณมีความหวังหลงเหลือ ความโลภจะทำให้คุณผลีผลามเข้าในจังหวะที่เสียเปรียบ และออกเร็วเกินไป ความหวังคือศัตรูตัวหลักเพราะมันทำให้คุณฝันถึงกำไรมหาศาล และออกไปสู่โลกแห่งความฝัน เชื่อผมเถอะ !!! โลกของการเก็งกำไร มันมีจริง และคนมากมายศูนย์เสียเงินที่ตัวเองเก็บมาทั้งชีวิต ชีวิตคู่พัง ครอบครัวแตกแยก จากการได้เสียอย่างมากมายในตลาดนี้ แน่นอน การชนะของเราที่เกิดจากการเก็งกำไร อาจจะชั่วครั้ง ชั่วคราว มันพร้อมจะจากเราไป เหมือนกับเราถูกฟ้องล้มละลาย หรือโกงเลยทีเดียว ผมไม่สามารถบอกวิธีที่แน่นอนในการจัดการกับความโลภได้ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้อย่างเดียวคือ คุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรอดจากตลาดแน่นอน

4). ความกลัว ความกลัวเป็นสาเหตุ ให้คุณไม่กล้าทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อ ความได้เปรียบมาถึง แน่นอนมันตรงข้ามกับความโลภที่เป็นสาเหตุให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ นักจิตวิทยาบอกว่า ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าขยับ ถึงแม้โอกาสที่ดีจะวิ่งเข้าหาคุณอย่างมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็จะมองผ่าน และไม่ทำอะไรกับมันเลย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาพลาดโอกาสที่ดีไปแล้ว ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้ แต่ผมบอกได้อย่างเดียวคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมกลัวมากเท่าไหร่ โอกาสชนะของผมที่จะได้กำไรกลับมีมากขึ้น นักลงทุนทั่วไปกลัวและเอาตัวเองมาจากตำแหน่งที่ได้เปรียบ

5). Money management คือการสร้างความมั่นคั่ง แน่นอน คุณสามารถทำเงินจากการเป็นเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุนก็ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่ากำไรส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจาก เทคนิคการเทรด รูปแบบการลงทุน มากเท่ากับวิธีการบริหารเงิน หรือการจัดการเงิน
ผมยกตัวอย่าง ผมทำเงินจาก $10,000 เหรียญเป็น 1 ล้านเหรียญใน 1 ปี ในการแข่งขันรายการนึงด้วยเงินจริง ด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อกำไรเยอะขึ้นคุณก็เทรดเยอะขึ้น และเมื่อกำไรลดลงคุณก็ต้องเทรดด้วยสัญญาที่น้อยลง และ 10 ปีต่อมา ลูกสาวเขาอายุ 16 ปี ก็ชนะรางวัลการเทรด โดยทำเงินจาก 10000 เหรียญ เป็น 1 แสนเหรียญ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีสูตรลับใดๆ ไม่มีกราฟมหํศจรรย์ใดๆ เธอแค่ทำตามรูปแบบการบริหารเงินเหมือนที่ผมได้ทำ

6). การทำกำไรมหาศาล ไม่ได้มาจากการเดิมพันที่สูง
มีเรื่องราวมากมายของนักเทรด อย่าง jesse livermore, john gates, niederhoffer, frankie joe และอีกมากมาย คนพวกนี้เดิมพันสูงมาก และสูญเสียเงินตัวเองหมดในท้ายที่สุด การลงทุน หรือเก็งกำไรที่ฉลาดจะไม่เดิมพันสูง และไม่มีทาง ทำไมเหรอ คุณสามารถชนะ และทำกำไรมหาศาลเมื่อคุณเดิมพันไม่เยอะ กลับไปดูข้อ 5 ท้ายที่สุด เมื่อคุณเดิมพันสูง เวลาคุณเสีย คุณก็เสียเยอะเช่นกัน มันเหมือนการเล่น รูเร็ต คุณสามารถเล่นได้บ่อยโดยคุณไม่แพ้เลย แต่ถ้าคุณเล่นบ่อยมากเท่าไหร่ บ่อยจนเพียงพอต่อผลลัพธ์อันเดียวที่คุณไม่มีทางหนีได้ คือ จุดจบ ความตาย และเมื่อคุณเดิมพันสูง คุณก็จะหมดตัวเช่นกัน ตัวผมก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อผมเถอะ ผมเดิมพันน้อยลง ควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ไม่มีวิธีใดหรอกที่จะอยู่รอดในตลาดโดยปราศจากการควบคุมความเสียหาย

7).พระเจ้าอาจช้า แต่พระเจ้าไม่เคยปฏิเสธ ผมไม่เคยรู้เลย เมื่อไหร่ผมจะทำเงินได้ มันอาจจะเป็นการเทรดครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายของผมเองก็ได้ แต่คุณต้องเตรียมรบ ให้ได้นานที่สุด ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องของพลัง คือ ปัจจัยในการสำเร็จของนักเทรด มันช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ในการเก็งกำไร สรุปคร่าวๆ ขอให้เรามีพยายาม และเชื่อในพลังในตัวเอง และมุ่งมั่น ความสำเร็จจะตาม

8). ผมเชื่อเสมอว่า การเทรดในปัจจุบัน ผมจะขาดทุน อันนี้คือเคล็ดลับความเชื่อในการเก็งกำไร ให้ประสบความเสำเร็จของผมเลยทีเดียว นักเทรดทั่วไป เชื่อเสมอว่า เทรดครั้งต่อๆไป ในอนาคตพวกเขาจะเทรดได้ดีขึ้น และจะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ผม !!! ผมเชื่อว่า หลักๆแล้ว หลักการจริงๆแล้ว คือการเป็นผู้แพ้ ผมถามคำถามคุณ คุณคิดว่า ผมที่มี stop อย่างผม และเทรดอย่างถูกต้อง หรือคนที่เทรดด้วยความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล คุณคิดว่าใครจะแพ้ ระหว่างผม หรือ คนที่คิดในแง่ดี ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะบอกคุณว่าการที่ผมคิดว่าผมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องตัวเอง ในทุกรูปแบบ และทุกเวลา และผมจะไม่อยู่ในความหวัง และความไม่จริง

9). โชคจะมาหาคุณจากการเพ่งความสนใจเพียง 1 ตลาด หรือ 1 เทคนิค คนที่เทรดหลายๆอย่าง จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ทำไม? นักเทรดจะต้องตั้งใจในรายละเอียดของการเทรด โดยปราศจากอารมณ์ การไขว้เขว้อาจหมายถึงต้นทุนคุณที่เพิ่มขึ้น ขาดการใส่ใจ นั่นจะทำให้คุณ ไม่ได้เข้าในจุดที่ควรจะเข้า หรือเพิกเฉยในการเทรดซึ่งนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น
เหมือนกับพวกที่โยนบอลขึ้นไปในอากาศ มันค่อนข้างยากที่คุณจะควบคุมบอลที่โยนขึ้นไปอากาศ อย่างเช่นบอล 3 ลูก แน่นอนคุณอาจจะฝึกได้ แต่เมื่อเพิ่มลูกบอลขึ้นเรื่อยๆ น้อยคนมากๆที่จะทำได้ และควบคุมลูกบอลพวกนี้ได้ ดูอย่างพวกนักกีฬาสิ พวกเขามุ่งมั่นอยู่แค่กีฬาอย่างเดียว หรือพวกศิลปิน นักดนตรี ไม่มีหรอกที่จะเป็นดาวดังจากการร้อง country western and opera ดังนั้น ยิ่งคุณมุ่งมั่นได้มากเท่าไหร่ในสิ่งที่คุณทำ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จมากมายในด้านนั้นๆ

10). เมื่อสงสัย ให้กลับไปอ่านข้อหนึ่งใหม่


ขอเครดิตให้เจ้าของบทความนะครับที่มา LARRY WILLIAMS
www.facebook.com/bigmoveclub
www.bigmoveclub.com

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน



Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน ด้วยผลงานการเทรดของเขาที่ไม่ธรรมดา ในปีแรกของการเป็นเทรดเดอร์ เขาสามารถทำเงินได้ถึง $600,000 และเบิ้ลเป็นสองเท่าในปีถัดมา Schwartz เปิดเผยว่าเขาเคยทำเงินได้ถึง $70,000 ในการเทรดเพียงหนึ่งวัน!!!!!!! นอกจากนี้ เขายังได้ตำแหน่งแชมป์การเทรดในรายการ U.S. Investing Championship เมื่อปี 1984 ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับเหล่าบรรดานักเล่นหุ้นชาวอเมริกันเลยทีเดียว !!

ผลงานการเทรดของเขายังคงเป็นตำนานให้เทรดเดอร์รุ่นใหม่ๆ กล่าวถึงอยู่เสมอ ก็ลองคิดดูสิจะมีซักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ทำกำไรเฉลี่ยต่อปีจากการเล่นหุ้นได้ถึงเกือบ 100% ต่อปี ย้ำนะว่าต่อปี และเป็นช่วงเวลายาวนานถึงกว่า 10 ปีอีกด้วย สิ่งนี้เองทำให้เขาได้รับการกล่าวขานให้เป็น ตำนานของตำนาน! ของบรรดาเหล่านักเล่นหุ้นระยะสั้นสำหรับชาวอเมริกัน!!!!!

Martin Schwartz ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นออกมาหลายต่อหลายเล่ม ซึ่งหนังสือที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือหนังสือขายดีอย่าง Market Wizards หนังสือที่ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของบรรดาเหล่าเทรดเดอร์จากทุกตลาด มาเปิดเผยเทคนิค วิธีการ และแนวคิดในการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของแต่ละคน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสไตล์ใด ไม่ว่าคุณชอบหุ้น ฟิวเจอร์ ค่าเงิน หรือ Commodities ก็แล้วแต่ หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณแน่นอน ส่วนอีกเล่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือหนังสือที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดที่ชื่อว่า Pit Bull : Lessons from Wall Street's Champion Day Trader ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางชีวิตการเป็นเทรดเดอร์อิสระของเขา ทั้งด้านความสำเร็จและความล้มเหลวให้เหล่ามือใหม่ได้เรียนรู้ก่อนลงสนามจริง

จุดเริ่มต้นของ Martin Schwartz

หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย Schwartz เริ่มต้นการทำงานที่ US Marine Corp. หลังจากนั้นเขาตัดสินใจลาออกไปเป็นนักวิเคราะห์ให้กับโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ในช่วงที่เขาทำงานอยู่ เขาเริ่มเรียนรู้การลงทุนในตลาดหุ้น แต่เขาก็ประสบความล้มเหลวตลอดในช่วงเวลา 10 ปีแรก จนเกือบจะต้องล้มละลายในช่วงปี 1970

หลังจากนั้น เขาได้ค้นพบหนทางของตัวเอง คือหนทางในการเก็งกำไรโดยใช้เทคนิคคอล เขาค้นพบวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง จนในที่สุด เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานในขณะที่มีเงินเก็บทั้งหมด $110,000 เขาใช้เงิน $92,500 จ่ายเป็นค่าที่นั่งใน floor ที่ตลาด American Stock Exchange ทำให้เขาเหลือเงินเพียง $20,000 เขาจึงต้องหยิบยืมเงินจากคนอื่นอีก $50,000 ทำให้เขามีเงินในการเริ่มต้นเทรดทั้งสิ้น $70,000

"ผมเริ่มต้นด้วยการขาดทุนในสองวันแรก ในการเทรด Option แต่หลังจากนั้นผมก็ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง หลังจาก 4 เดือนแรก ผมได้กำไร $100,000 ครบปีผมทำเงินได้ถึง $600,000 และ $1,200,000 ในปีถัดมา"

"หลังจากนั้นผมตัดสินใจหันไปเก็งกำไรในตลาด future แทน ด้วยเหตุผลว่าตลาด option เริ่มเล็กไปสำหรับผมและผลประโยชน์ด้านภาษีในช่วงเวลานั้น การเทรด future ทำเงินให้ผมจาก $40,000 เป็น $20 ล้านในช่วงที่ผ่านมา โดยไม่เคยมีช่วงเวลา drawdown มากกว่า 3% นั่นเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก"

หลักการเทรดของ Schwartz คือเขาจะพยายามทำกำไรให้เป็นบวกในทุกๆเดือน เขาเผยว่าเขาเคยพยายามที่จะทำกำไรให้ได้ทุกๆวัน และเขาก็พบว่ามันบ้ามากที่จะคิดแบบนั้น เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในทุกเดือนเขาสามารถทำกำไรได้ประมาณ 90% ของจำนวนวันที่เทรดทั้งหมด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

นอกจากนี้เขาได้พูดถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุน ว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบที่จะเสียเงินมากกว่ายอมรับว่าตัวเองผิด พวกเขาต้องการจะปกป้อง ego ของตัวเอง แต่สำหรับ Schwartz เขาบอกว่าเขาสามารถทำกำไรจากตลาดได้ ตั้งแต่ที่เขาสามารถพูดกับไอ้เจ้า ego ของเขาว่า การทำเงินสำคัญมากกว่ามัน และเขาไม่มีวันยอมเสียเงินซักแดงเดียวเพื่อที่จะปกป้อง ego เด็ดขาด !!!!

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

ผมอยากจะให้มือใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในอาชีพนี้ทุกคน คิดและเชื่อว่าคุณทำได้ คุณสามารถประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ได้มากกว่าที่คุณฝันไว้ เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่เกิดกับผม ผมมีอิสรภาพทั้งด้านการเงินและการใช้ชีวิต ผมอยากไปไหนก็ได้ที่ผมต้องการ ลูกๆ ของผมคิดว่าที่ทำงานของพ่อของพวกเค้า คือ บ้านของเรา

สิ่งที่จะทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้น คือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะขาดทุน สิ่งสำคัญในการทำกำไรก็คืออย่าปล่อยให้การขาดทุนมันบานปลาย นอกจากนี้ อย่าพยายามเพิ่ม volume การเทรด จนกว่าคุณจะสามารถดับเบิลพอร์ตของคุณได้ คนส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดโดยการพยายามเพิ่ม volume ในการเทรดทันทีที่เขาเพิ่งเริ่มจะที่จะมีกำไร และนั่นเป็นหนทางแห่งหายนะที่ทำให้เค้าเหล่านั้นต้องเดินออกไปจากตลาดแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้ Martin Schwartz ประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ หลังจากล้มเหลวมานานกว่า 10 ปี นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยที่สำคัญสองอย่าง อย่างแรก คือเขาค้นพบวิธีการที่เหมาะกับเขา ตลอดช่วงเวลาที่เขาขาดทุน เขาใช้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรด จนเมื่อเขาได้รู้จักกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงทำให้เขาเริ่มทำกำไรได้ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะดีกว่าการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน สิ่งสำคัญมันคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความเหมาะสมกับตัวตนของเขาต่างหาก!!!! ดังนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่คุณต้องมีก็คือคุณต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวคุณให้เจอก่อน

สำหรับปัจจัยอย่างที่สอง ซึ่งเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ Schwartz ก็คือ การเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง เขาเริ่มประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรหลังจากที่เขาต้องการทำเงินมากกว่าต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูก คนส่วนใหญ่ยินดีจะเสียเงินเพื่อจะเป็นฝ่ายถูก (คือเลือกที่จะไม่ cut loss) การเทรดของ Schwartz จึงออกมาในรูปแบบของการเน้นควบคุมความเสี่ยงเป็นสำคัญ เขาจะลด volume ในการเทรดหลังจากการขาดทุนอย่างมาก รวมถึงลด volume เทรดเช่นกันหลังจากได้กำไรมหาศาล เพราะเขามีประสบการณ์ขาดทุนอย่างมากหลังจากการได้กำไรก้อนโต เขาบอกว่าหลังจากการได้เงินหรือเสียเงินจำนวนมากๆ จะทำให้การควบคุมเกมส์การเทรดและการควบคุมอารมณ์ของเราสูญเสียไปบางส่วน การลด volume เทรดลงจะช่วยให้เรากลับมาอยู่ในเกมส์ของเรามากขึ้น

***********************

Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน

เรียบเรียง : 2Binvestor

ที่มา http://2binvestor.blogspot.com/2012/07/martin-schwartz.html

ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่ต้องใช้เตรียมในการรบยืดเยื้อยาวนานในสงครามตลาดทุน

วันนี้ขอนำเอาแนวคิดของคุณ .วชิรเมษฐ์ ธเนศสถิตพงศ์. จาก eFinanceThai มาโพส์ตหน่อยนะครับ


สิ่งที่ต้องใช้เตรียมในการรบยืดเยื้อยาวนานในสงครามตลาดทุน

1. ออกแบบกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับกองกำลังในการรบ เช่น กองกำลังเสียเปรียบก็ควรรบแบบกองโจร ซุ่มโจมตีตรงจุดที่ได้เปรียบด้านที่ตั้งทำเลและสถานการณ์ (ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง) ค่อยสะสมไพร่พล กองกำลังมากมาย เน้นแบ่งกองรบหลากหลายรูปแบบรุกคืบแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้มีกำลังหนุนเหนืองไม่สิ้นสุด ห่ำหั่นด้วยระยะเวลา

2. เตรียมเสบียงศึกและกองกำลังหนุน (เงินสดหมุนเวียน) ไว้ให้เพียงพอทุกสถานการณ์ เมื่อไรขาดเสบียงศึกและกองหนุน คือ ความพ่ายแพ้แบบหมดโอกาสแก้ตัวจะมาเยือน

3. ศึกษาข้อมูลของศัตรู ทำเล ที่ตั้ง ลมฟ้าอากาศ (จุดอ่อน ต้นทุน พื้นฐาน สถานการณ์ตอนนั้น)

4. ฝึกฝนกองกำลังตนเองให้มีการเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็น เสี่ยงเฉพาะจุดได้เปรียบ เร็วแรงในด่านหน้า วางกองหนุนไว้ด้านหลังทันที อย่าหวังเผด็จศึกในดาบเดียว เพราะอาจติดกับดักศัตรูได้ เราวางแผนได้ศัตรูก็วางแผนได้

5. ทบทวนกระบวนการ 1 - 4 ทุกครั้งหลังจากพักรบ แล้วเก็บเกี่ยวความสนุกจากการวางแผน เฝ้ามองหาวัฏจักรเกิดดับในสนามรบ

By. Better Trade [www.efinancethai.com]

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

6 ขั้นตอนสู่อิสรภาพทางการเงิน


1) จัดทำบัญชี และงบการเงิน

การเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงินก็เหมือนกันกับการเดินทางทั่วไปที่ต้องมีแผนที่นำทาง ดังนั้นก่อนจะเริ่มเดินทาง คุณเองควรจะรู้ก่อนว่า ปัจจุบันคุณอยู่ ณ จุดไหนของคำว่าอิสรภาพทางการเงิน”  ลองจัดทำงบการเงิน

2) ตั้งเป้าหมาย และวางแผน

เริ่มต้นจากอิสรภาพทางการเงินขั้นพื้นฐาน 6 ประการ คือ
เศรษฐกิจพอเพียง
เก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของรายรับทั้งหมด)
สำรองเงินไว้ใช้จ่าย (อย่างน้อย 6 เดือน)
ประกันชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ
เรียนรู้ตลอดชีวิต
บริจาคตามกำลัง

ลองพิจารณาดูว่าชีวิตของท่านบรรลุเป้าหมายพื้นฐานในแต่ละข้อข้างต้นหรือยัง ถ้ายังให้กำหนดหัวข้อเหล่านี้เป็นเป้าหมาย ที่สำคัญต้องกำหนดวิธีการ กรอบเวลา รวมถึงประเมินภาพในอนาคตไว้ด้วย

ส่วนใครที่มีอิสรภาพการเงินขั้นพื้นฐานแล้ว ก็อาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปได้ ไม่ว่ากัน

3) ลงทุนในการเรียนรู้

“High Understanding, High Returns” ยิ่งคุณเข้าใจธุรกิจที่คุณลงทุนมากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถสร้างกำไรจากมันได้มากเท่านั้น จงเรียนรู้ให้หนักขึ้น เพื่อจำกัดความเสี่ยงทั้งมวลที่อาจจะเกิดขึ้น โลกไม่ได้ยากเย็นอย่างที่เราคิด แต่ที่ใครหลายคนคิดว่ามันยาก เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยแบ่งเวลามาสนใจใยดีกับมันต่างหาก

จงแบ่งเวลาให้กับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ อย่าจำกัดเฉพาะแต่ในห้องเรียน จงมองโลกให้กว้างเพื่อที่ท่านจะได้เห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่อีกมากมายบนโลกใบนี้

เราลงทุนในการเรียนรู้ด้วยอะไรบ้าง ?

เวลา
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องพิจารณา ปัจจุบันคุณให้เวลากับการเรียนรู้สักแค่ไหน ถ้าคิดว่ายังน้อยไป จัดแบ่งเวลาในการเรียนรู้ให้มากขึ้น แล้วคุณจะได้รับมากขึ้น

ความคิด
คนสองคนนั่งเรียนคอร์สเดียวกัน คนหนึ่งเอากลับมาคิดต่อยอดไปสู่การกระทำ อีกคนได้แค่นั่งดีใจว่ารู้แล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสองคนนี้ต่างกันมหาศาล

สายสัมพันธ์
การลงทุนในสายสัมพันธ์ ก็สามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างมากมาย คนหลายคนมักคบหา หรือคิดถึงคนอื่นยามที่ตัวเองเดือดร้อนเท่านั้น เรียนรู้ที่จะใช้เวลากับผู้อื่น แบ่งปันความรู้ ความคิด ความช่วยเหลือให้กับคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่แตกต่างจากคุณ เพราะมันจะช่วยให้โลกของคุณกว้างขึ้น ไม่เพียงแค่ความรู้ แต่มันคือโลกแห่งความรัก และความเอื้ออาทรกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เงินก็ซื้อหาไม่ได้

ความรู้
เข้าร่วมทำงานกับองค์กร หรือชมรมที่ท่านสนใจ เพื่อสร้างโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อันจะก่อให้เกิดบูรณาการทางความรู้และความคิดได้เป็นอย่างดี

การตั้งคำถาม
คำถามที่ดีเป็นการสร้างโจทย์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ชีวิต ในทางตรงกันข้าม คำถามแย่ ๆ ก็ทำให้คุณเป็นคนในด้านตรงกันข้ามได้เช่นกัน

ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้
ทำไม เราไม่เกิดมารวยเหมือนคนอื่นบ้าง
ทำไม เราไม่โชคดีเหมือนคนอื่นเขาบ้าง

เริ่มต้นใหม่ ตั้งคำถามที่ดีให้กับตัวเอง แล้วคุณจะได้คำตอบที่ดีกลับคืนมา

ฉันจะประสบความสำเร็จในชีวิตก่อนอายุ 35 ปี ได้อย่างไร

คำถามใหม่ ๆ จะนำคุณไปสู่การลงทุนครั้งใหม่ในชีวิต จงใช้ชีวิตกับคำถามใหม่ ๆ เลิกถามคำถามเก่า ๆ

หุ้นตัวไหนน่าซื้อ
กู้เงินแบงค์ไหน ดอกเบี้ยต่ำสุด
มีเงินเก็บ 50,000 ทำธุรกิจอะไรดี

สิ่งที่คุณถาม คือ สิ่งที่คุณจะได้รับ

อื่น ๆ อีกมากมาย (ลองคิดต่อเองนะครับ)

4) แวดล้อมตัวคุณ ด้วยคนที่คิดแบบเดียวกัน

คนเราเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมเสมอ อิสรภาพทางการเงิน เกิดได้ทันทีที่คุณเป็นผู้เลือกกระทำ ดังนั้น จงเลือกสภาวะแวดล้อมที่จะพาชีวิตคุณไปในทางที่ดี

5. ลงมือปฏิบัติ บันทึกผล

บิดาของความสำเร็จ คือ การกระทำคำพูดนี้ยังคงเป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอ

ลงมือปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนดไว้ จดรายละเอียดของทุกการกระทำสำคัญ ๆ ไว้ เพื่อเปรียบเทียบ และปรับแก้แผนงานสู่อิสรภาพทางการเงิน

6. ทบทวน

ตรวจสอบผลการปฏิบัติ กับแผนที่วางไว้ ว่าเป็นไปตามแผนแค่ไหน ต้องปรับแก้อะไร ในขั้นตอนนี้อาจปรึกษาผู้ประสบความสำเร็จเพื่อช่วยทบทวน และให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป

หัวข้ออะไรบ้างที่ต้องทบทวน

ความคิด
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบตลอดเวลา หมั่นคอยเช็คและตรวจสอบความคิดของเราถูกต้อง หรือสอดคล้องกับแนวทางสู่อิสรภาพทางการเงิน หรือไม่

จิตใจ
ตรวจสอบจิตใจทั้งก่อนและหลังตัดสินใจใช้จ่าย หรือลงทุน จำเอาไว้ว่า การลงทุนที่ทำให้คุณรู้สึกไม่มีความสุขตั้งแต่ใส่เงินลงไป นั่นก็ถือว่า ขาดทุน เรียบร้อยแล้ว

งบการเงิน
ตรวจสอบแผนที่ทุกครั้ง โดยอาจทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อคอยตรวจสอบว่า เราเดินออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า หรือเราเข้าใกล้อิสรภาพทางการเงินเพียงใด

เริ่มต้นตรวจสอบตัวเอง จัดทำบัญชี และวางแผนสู่อิสรภาพทางการเงินตั้งแต่วันนี้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จงจำเอาไว้ว่าอิสรภาพทางการเงิน เริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ของทุก ๆ คน


ขอขอบคุณ www.BLOGGANG.com

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

4 กูรูวีไอส่องตลาดทุน เปิดเคล็ดลับร่อน "หุ้นติดดาว"

จาก: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ภายหลังสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ยกระดับจากเว็บไซต์ที่อยู่คู่กับนักลงทุนมายาวนาน กว่า 10 ปี ซึ่ง "ธันวา เลาหศิริวงศ์" นั่งเป็นนายกสมาคม ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมให้ความรู้แนวทางการลงทุนแบบ VI ให้ถูกวิธี ซึ่งปัจจุบันสมาคมมีสมาชิกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 2,000 ราย

นับเป็นครั้งแรกที่สมาคมจัดสัมมนาเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา
ในหัวข้อ "กลยุทธ์เลือกหุ้นแบบวีไอ" โดยวิทยากรที่คุ้นเคยในแวดวงคนเล่นหุ้น เริ่มจาก "อนุรักษ์ บุญแสวง" นักลงทุนที่มีพอร์ตหลักร้อยล้านบาทขึ้นไป ได้เล่าถึงหลักการลงทุนแบบ VI ว่า ราคาหุ้นสุดท้ายสะท้อนจากกำไรของธุรกิจเติบโตในอนาคต ดังนั้นความสนใจในหุ้นตัวหนึ่งจะเริ่มจากกำไรต้องเติบโตสูงเป็นอันดับแรก ดูประวัติย้อนหลัง 4-5 ปี ส่วนราคาหุ้นก็ต้องดูว่ายังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง ด้านแหล่งที่มาของกำไรต้องยั่งยืน ไม่ใช่เพียงหุ้นที่มีวัฎจักรทำกำไรเติบโตดีได้แค่ช่วง 1-2 ปี

"ผมจะเจาะเข้าไปศึกษาแผนธุรกิจ หุ้นต้องมีคุณสมบัติเป็นธุรกิจที่ไม่มีสินค้าทดแทน เป็นสินค้าที่มีอำนาจในการขึ้นราคา และสามารถเจรจาต่อรองกับคู่ค้าได้สูง"

อนุรักษ์ บอกว่า
ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจคือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะผู้บริหารยังไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะได้งานหรือไม่ จึงประเมินรายได้ยาก

ต่อด้วย
นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นิยามการเลือกลงทุนต้องเป็น "หุ้นขั้นเทพ" จะชอบคล้าย "อนุรักษ์" ที่ชอบหุ้นที่ผลิตสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ และมีอำนาจต่อรองสูง ขณะที่จังหวะเข้าลงทุน ก็ถือว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งควรเข้าไปลงทุนก่อนคนอื่น หรือคาดการณ์ล่วงหน้า และสามารถซื้อลงทุนถือได้ใน 1 ปีพร้อมแนะกลุ่มสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีกที่เป็นไฮเอนด์ ขณะที่กลุ่มไม่น่าลงทุนคือรับจ้างผลิต หรือ OEM จะไม่มีแบรนด์ตัวเอง อำนาจต่อรองต่ำ กระทบกำไร

นักลงทุนวีไอ
"วิบูลย์ พึงประเสริฐ" เจ้าของผลงานหนังสือ "ตะแกรงร่อนหุ้น" เแนะว่า ถ้าตลาดปรับขึ้น หุ้นที่ถือก็ควรจะปรับขึ้นด้วย แต่หากตลาดปรับลง ถือเป็นจังหวะที่เราจะเก็บหุ้นได้ในราคาที่ถูกลง โดยเลือกธุรกิจที่มีความรู้และเข้าใจ ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์งบการเงินและความสามารถในการแข่งขันของ อุตสาหกรรมและบริษัทโดยหุ้นที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจที่เกาะธีม AEC ที่ค้าขายของประเทศสมาชิกไม่ต้องเสียภาษี การเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี เช่น แพทย์ พยาบาล ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลน่าสนใจ เนื่องจากต้นทุนที่ลดลง เพราะสามารถจ้างบุคคลากรต่างประเทศด้วยค่าจ้างที่น่าจะถูกลง ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ ยังเป็นรับเหมาก่อสร้าง ด้วยสาเหตุเดียวกับ "อนุรักษ์"ให้ไว้มาที่เจ้าต้นตำรับวีไอ

"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" บอกว่า ปัจจุบันเลือกหุ้นลงทุนยากขึ้น มีหุ้นดี แต่ราคาแพง โดยหุ้นที่อยู่ในพอร์ต ส่วนใหญ่เป็นหุ้นชั้นดีที่เน้นลงทุนระยะยาวไม่มีกำหนดเวลา และเห็นแนวโน้มอนาคตไกล ๆ ได้ ขณะที่หุ้นอีกส่วนที่ถือติดพอร์ต แต่จำนวนน้อย คือหุ้นที่คุณภาพอาจไม่ดีเท่าแบบแรก แต่ราคาถูก ซึ่งจะถือไม่นาน เมื่อราคาขึ้นระดับหนึ่งแล้วจะขาย ส่วนหุ้นที่ชอบคือมีลักษณะอำนาจเหนือคู่แข่ง และเพิ่มขึ้นเรื่อย มีธุรกิจเป็นเบอร์ 1 ครองมาร์เก็ตแชร์ที่สูง

"ดร.นิเวศน์" ชี้อุตสาหกรรมที่กำลังจะมาจริง ๆ ในไทยเริ่มมองยาก จึงหันมาลงทุนต่างประเทศ แต่ถ้าให้แนะนำหุ้นที่ไม่กระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค ผลิตน้ำ ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่น่าลงทุนคือ Pure Community ได้แก่ เหล็ก ปิโตรฯ ถ่านหิน

########

4 กูรูวีไอส่องตลาดทุน เปิดเคล็ดลับร่อน "หุ้นติดดาว"

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detai...id=09&catid=09


วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำไมหุ้นถ่านหินร่วง?


บทความ Value Way ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2555
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
---

   ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ดัชนี 1,025 จุดเพิ่มขึ้นมาจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ 1,214 จุด เพิ่มขึ้นถึง 18.4 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนว่านักลงทุนทุกคนจะได้กำไรกันถ้วนหน้าในปีนี้ ถ้าดูเผินๆหุ้นในตลาดทุกบริษัทน่าจะมีราคาเพิ่มขึ้นกันหมดในตลาดขาขึ้นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงมีหุ้นขนาดใหญ่บางบริษัทกลับราคาลดลงสวนทางดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมอย่างเช่นหุ้นที่เป็นที่นิยมของกองทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างหุ้นบ้านปู (BANPU) ที่ราคาต้นปีอยู่ที่หุ้นละ 546 บาท ในสิ้นเดือนสิงหาคมราคาอยู่ที่ 446 บาท ลดลงจากต้นปีถึง -18.3 เปอร์เซนต์ เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นบ้านปูที่เมื่อต้นปีนักวิเคราะห์ยังเชียร์ซื้อหุ้นกันอยู่เลย

   ในความเป็นจริงหุ้นบ้านปูไม่ได้เป็นหุ้นเดียวที่ราคาลดลงแต่ยังรวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินแทบทั้งหมดในตลาดหุ้นทั่วโลก ถ้าดูราคาหุ้นบ้านปูย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2011 ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 792 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 10.04 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 3.47 เท่า ขณะที่ต้นปี 2012 ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 546 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 6.92 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 2.11 เท่า สิ้นเดือนสิงหาคมราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 446 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 9.10 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 1.54 เท่า จะเห็นว่าในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นบ้านปูลดลงมาตลอดทางจากต้นปี 2011 ถึงปัจจุบันลดลงถึง -43.7% หรือเกือบครึ่งหนึ่ง

   ถ้าสมมุติฐานที่ว่าราคาหุ้นบ้านปูเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกับราคาถ่านหิน จะพบว่าราคาถ่านหินที่ตลาดกลางออสเตรเลียในช่วงสองปีที่ผ่านมามีราคาลดลงเช่นเดียวกัน จากต้นปี 2011 ราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่141 เหรียญต่อตัน ในเดือนมกราคมปี 2012 ราคาถ่านหินลดลงเหลือ 124 เหรียญต่อตัน เดือนกรกฏาคม ราคาถ่านหินเหลือเพียง 90 เหรียญต่อตัน แสดงว่าในช่วงสองปีทีผ่านมาราคาถ่านหินลดลงไปถึง -36 เปอร์เซนต์ แสดงให้เห็นว่าว่าราคาหุ้นบ้านปูมีความสัมพันธ์กับราคาถ่านหินอย่างชัดเจน

   ทำไมราคาถ่านหินมีราคาลดลงในช่วงสองปีนี้ทั้งๆที่ราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงมากในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่ในสมัยก่อนราคาถ่านหินจะเคลื่อนไหวไปกับราคาน้ำมันเพราะถือว่าเป็นสินค้าทดแทนได้ ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง ผู้ใช้อย่างโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าหรือไอน้ำจากน้ำมันเตามาเป็นถ่านหินเพราะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง เช่นเดียวกันในช่วงเวลาที่ราคาถ่านหินสูง ผู้ใช้จะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเตาในการผลิตแทน ทำให้ราคาน้ำมันและราคาถ่านหินปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันตลอดมา

   แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันและราคาถ่านหินเริ่มมีราคาในทิศทางที่เปลี่ยนไป เนื่องจากประเทศผู้ผลิตถ่านหินอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 50 เปอร์เซนต์ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เริ่มเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาติมากขึ้นจากค้นพบเทคโนโลยี่การขุดเจาะเชลก๊าซ (Shale Gas) ที่ถูกลงในอเมริกาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงจากราคากว่า 5 เหรียญต่อล้านบีทียูมาอยู่ที่ 3 เหรียญต่อล้านบีทียูและคาดการณ์ว่าในอนาคตราคาก๊าซธรรมชาติในอเมริกาจะลดลงเหลือเพียงราคาถูกกว่า 2 เหรียญต่อล้านบีทียูซึ่งถือว่าเป็นราคาก๊าซธรรมชาติที่ถูกที่สุดในโลก

  เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติลดลงทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาติมากขึ้น การเปลี่ยนวัตถุดิบของโรงไฟฟ้านี้ใช้เงินลงทุนไม่มากนักแต่คุ้มค่าในระยะยาว ทำให้ถ่านหินที่ผลิตได้ในช่วงสองปีนี้มีปริมาณมากเกินกว่าที่ตลาดในประเทศอเมริกาจะรองรับได้ ผู้ผลิตถ่านหินในอเมริกาต้องขายถ่านส่วนเกินออกมาในตลาดโลกในราคาที่ถูกลงหรืออาจจะต้องเรียกว่าขายดัมพ์ตลาดเลยทีเดียว ทำให้ราคาถ่านหินทั่วโลกลดลงมาโดยตลอด

   แนวโน้มของการเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาตินั้นคงไม่หยุดง่ายๆเพราะก๊าซธรรมชาตินอกเหนือจากได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิตแล้วยังปล่อยไอเสียสู่บรรยากาศน้อยกว่า นักอนุรักษ์ธรรมชาติมักให้การรับรองการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมากกว่าการผลิตจากถ่านหินหรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกเหนือจากนั้นการขอตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมักได้รับการต่อต้านจากชุมชนโดยรอบเพราะเป็นห่วงในเรื่องของสิ่งแวดล้อม

   สถานการณ์ของหุ้นถ่านหินในช่วงต่อจากนี้คงยังไม่ดีนักโดยข่าวร้ายที่สุดของอุตสาหกรรมนี้คือการที่บริษัทเชลล์กรุ๊ปของเนเธอร์แลนด์จับมือกับบริษัทน้ำมันของจีนเริ่มการขุดสำรวจเชลก๊าซในเมืองจีนโดยคาดการณ์ว่าจีนจะเป็นแหล่งเชลก๊าซใหญ่อันดับสองของโลกและจีนยังเป็นประเทศที่ใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ผู้บริหารบริษัทถ่านหินคงต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดต่อไปในสถานการณ์ที่ถูกกดดันรอบข้างจากแหล่งพลังงานที่ถูกกว่าและสะอาดกว่าอย่างก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานอย่างเชลก๊าซในอนาคต

อบคุณบทความดีดีจากคุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ และการเผยแพร่จาก Thailand Investment Forum



วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

“สรรพากร” เปิดโปง “10 กลวิธี” โกงภาษี! “พลอย” แค่จิ๊บๆ-ผู้รับเหมาคราบนักการเมืองแสบสุด


 สรรพากรสรุป 10 วิธีที่บรรดาคนรวย-นักธุรกิจ-นักการเมือง ใช้ในการเลี่ยงภาษี ยิ่งกว่า ดาราชี้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ ซิกแซ็กหลายรูปแบบ แถมยกระดับคนงานเป็นผู้รับเหมาช่วงเพื่อหลบภาษีได้ง่ายๆ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ก็งัดวิชามารเลี่ยงภาษีกันเห็นๆ ขณะที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกแต่งบัญชีเท็จเพื่อให้เจ้าของและหุ้นส่วนรวยทั่วหน้า สรรพากรบ่นใช้กฎหมายเล่นงานพวกโกงภาษีไม่ได้เพราะถูกนักการเมืองบีบ พวกข้าใครห้ามแตะ
       
       กรณี พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ที่มีความขัดแย้งกับบริษัทออร์แกไนซ์ จนเป็นที่มาของการเปิดโปงให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า เธอใช้บัตรประชาชนของพ่อคนขับรถเธอเอง มารับเงินแทนเพื่อจะได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 3 ของเงินที่ได้รับ แทนที่จะถูกหักร้อยละ 5 ตามกฎหมาย
       นี่คือเหตุผลสำคัญที่กระทรวงการคลังมอบหมายให้กรมสรรพากร เตรียมเปิดเวทีเชิญดารานักแสดง พิธีกร นักกีฬาที่เป็นบุคคลสาธารณะ มารับฟังแนวทางการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีแก่ประชาชนทั่วไปในการเสียภาษีต่อไป
       
       อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร ระบุว่า การเลี่ยงภาษีที่เกิดขั้นนั้นไม่ใช่มีเฉพาะอาชีพดารา หรือกรณีข่าวของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ดามาพงศ์-ชินวัตร) อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเลี่ยงภาษีอากร มูลค่า 546 ล้านบาทเท่านั้น
       
       แต่ข้อเท็จจริงแล้ว มีบุคคลที่มีรายได้สูงจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจการเมือง หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพลต่างๆ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ล้วนแต่หาช่องทางที่จะเลี่ยงภาษีเพื่อให้เขาและบริษัทของเขาจ่ายภาษีน้อยที่สุดเท่าที่กฎหมายเปิดช่องไว้
       
       “มันเป็นการวางแผนภาษีเพื่อให้จ่ายน้อยที่สุด ซึ่งจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีคนชี้แนะ ตั้งแต่นักบัญชี บริษัทที่ปรึกษาทางบัญชี และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรร่วมกันดำเนินการให้
   สำหรับกลวิธีในการเลี่ยงภาษีที่นิยมกระทำกันตลอดมาทั้งในส่วนของการเสียภาษีบุคคลและในรูปนิติบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากร ได้สรุปให้ “ASTV ผู้จัดการรายวันฟัง ประกอบด้วย
       
       
1. การตั้งตัวแทนเชิด คือการตั้งบุคคลอื่นหรือบริษัทเป็นผู้มีรายได้และเสียภาษีแทนตน ซึ่งมีผลให้ตัวเองเสียภาษีน้อย หรือหากมีปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมายก็จะยากขึ้น กรณีเช่นนี้ก็เหมือนกับที่พลอย เฌอมาลย์ ให้คุณลุงวัย 77 ปี รับเงินแทนเพื่อประหยัดภาษีนั่นเอง
       
       
สำหรับวิธีการตั้งตัวแทนเชิดนั้น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่บรรดานักการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ล้วนเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งคนกลุ่มนี้กรมสรรพากรอยากจะบอกว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่เลี่ยงภาษีมากในอันดับต้นๆ
       
 
       
โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จะใช้วิธีหารายชื่อคนงานแล้วให้คนงานของตนเองเป็นผู้รับเหมารายย่อย โดยเงื่อนไขสำคัญของคนที่จะถูกเชิดให้เป็นผู้รับเหมารายย่อยนั้นต้องไม่ให้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท เพื่อเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
       
       “จุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เขาประหยัดภาษีมากขึ้น ซึ่งความจริงเงินจำนวนที่ถูกถ่ายออกไปก็เข้ากระเป๋าพวกเขากันเอง
       
       นอกจากบรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้างจะนิยมใช้วิธีการดังกล่าวแล้ว กรมสรรพากรยังพบว่าบรรดากิจการขนส่งสินค้าก็นิยมกระทำเช่นกัน ด้วยการเอาชื่อลูกน้องในการรับส่งสินค้าแทน เพื่อหลีกเลี่ยงรายได้แท้จริงของตนเอง
  2. การตั้งคณะบุคคล เป็นการก่อตั้งคณะบุคคลหลายๆ คณะ จุดประสงค์เพื่อแตกฐานเงินได้ให้เล็กลง โดยมีชื่อตนเองในทุกคณะ ทำให้เสียภาษีน้อยลง และยังสามารถหักค่าใช้จ่ายในแต่ละคณะได้อีก
       
       “พวกที่มีอาชีพอิสระ ที่ปรึกษา ศิลปินดารา หรือพวกที่มีรายได้สูงๆ นิยมทำมาก อย่างดาราที่เป็นข่าวโด่งดังก็ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่ใช้วิธีการนี้เลี่ยงภาษี ซึ่งชมพู่บอกว่าที่ทำแบบนี้เพราะไม่รู้และได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ ยืนยันว่าต่อไปเธอจะไม่ใช้วิธีนี้ เพราะเท่ากับเป็นการโกงภาษีรัฐแหล่งข่าวกรมสรรพากร ระบุ
       
       
3. ทำให้บริษัทขาดทุน วิธีการนี้เป็นที่นิยมทำกันแพร่หลายในทุกๆ ประเภทกิจการ โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะใช้วิธีการสร้างรายจ่าย หรือบิลรายจ่ายมาเบิกบริษัทให้มากที่สุด เมื่อถึงปลายปีก็จะพบว่าบริษัทขาดทุนและไม่สามารถเสียภาษีได้ ส่วนที่มีการหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ก็มีโอกาสจะได้คืน เนื่องจากบริษัทไม่มีกำไรและยังขาดทุน
       
       ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่าบริษัทเหล่านี้มีการกระทำอีกหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ให้บริษัทกู้ยืมเงินจากกรรมการบริษัทของตนเองเพื่อหลบยอดรายได้หรือยอดขาย และเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ยบริษัท
       
       “นักการเมืองบางคนใช้ชื่อบริษัทสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าเอาวัสดุที่ซื้อไปก่อสร้างบ้านตัวเองราคาหลายล้าน แต่กลับนำบิลมาเบิกเป็นรายจ่ายบริษัทแทน
       
       
เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเล่าอีกว่า ที่น่าตลกที่สุด บริษัทรับเหมาก่อสร้างทำถนน แต่กลับมีการสั่งซื้อ สีเป็นจำนวนมากมาหักภาษีซื้อ และยังมีการนำบิลรายจ่ายอื่นๆ ที่ใช้เป็นการส่วนตัว แล้วมีการแต่งตัวเลขให้สูงขึ้น จากนั้นนำมาตัดจ่ายในบัญชีของบริษัท
4. การหลบยอดขายและยอดซื้อ ซึ่งหมายถึงบริษัทมีการแต่งบัญชีโดยให้ยอดขายเกิดขึ้นเท่าที่ต้องการจะเสียภาษี เช่นมียอดขายสินค้า 200 รายการ แต่มีการเปิดบิลหรือมียอดขายตามบิลแค่ 80 รายการ ซึ่งวิธีนี้บรรดาบริษัท ห้างหุ้นส่วน นิยมกระทำมาก
       
       “พวกนี้จะนิยมแต่งบัญชี คือเขาจะมีบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งเขาจะรู้ว่าบัญชีไหนไว้ใช้ยื่นเสียภาษี ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกฎหมาย แต่โทษบ้านเราก็แค่ปรับ พวกนี้จึงไม่เกรงกลัว
       
       
5. การซื้อใบกำกับภาษี ที่นิยมกันก็คือการซื้อใบกำกับภาษีซื้อของผู้ประกอบการค้าน้ำมันมาเป็นยอดรายจ่ายของบริษัทตน ทั้งนี้เพราะผู้เติมน้ำมันรายย่อยมักไม่ขอใบกำกับภาษีอยู่แล้ว
       
       “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมักขอซื้อใบกำกับภาษีดังกล่าวเพื่อนำไปขอคืนภาษีจากรัฐ เพื่อทำให้เสียภาษีน้อยลง
       
       
6. การหลีกเลี่ยงโดยผ่านระบบบัญชี วิธีนี้นักบัญชีของบริษัทจะรู้กันกับเจ้าของกิจการ หุ้นส่วนบริษัท หรือบอร์ดบริษัท ที่ต้องการจะมีการประหยัดเงินและนำผลกำไรให้กับเจ้าของกิจการตัวจริงและหุ้นส่วนมากที่สุด ก่อนที่จะนำบัญชีบริษัทส่งให้ผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองอีกขั้นตอนหนึ่ง
       
       “วิธีการนี้เป็นการสร้างบัญชีเท็จ ด้วยการกำหนดรายจ่ายต่างๆ เข้ามาเบิกในบัญชีบริษัทหรือค่าที่ปรึกษา ค่าโบนัสให้กับกรรมการหรือพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการวางแผนทางภาษีเพื่อให้บริษัทเสียภาษีน้อย แต่เจ้าของกิจการได้กำไรมากๆ
 7. การตั้งบริษัทเพื่อเจตนาออกใบกำกับภาษีซื้อปลอม วิธีการนี้จะมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาหลายๆ แห่ง และมีการออกใบกำกับภาษีซื้อขายแก่กันเป็นทอดๆ โดยข้อเท็จจริงแล้วบริษัทไม่ได้มีการทำกิจการจริง แต่ใช้วิธีการโอนกลับไปกลับมาเท่านั้น
       
       “เขาเจตนาโกงภาษี ทำทีมีการส่งออกสินค้า และมีการปลอมใบสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ แล้วนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
       
       
8. การซื้อบิลจริง แต่ไม่มีการกระทำจริง วิธีการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขในการจ่ายภาษี
       
       ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตสินค้ารายหนึ่ง ต้องการประหยัดภาษีรายได้ เนื่องจากบริษัทมีกำไรมาก จึงใช้วิธีการติดต่อขอซื้อใบเสร็จ โดยอ้างว่าเป็นค่าการตลาด (ประชาสัมพันธ์) ในสื่อต่างๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วบริษัทนี้ไม่ได้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว และบริษัทที่ทำโฆษณาก็ยอมออกใบเสร็จให้
       
       
นี่เป็นวิธีการโกงภาษี ที่มีผู้ร่วมกระทำหลายคน คือบริษัทผลิตสินค้า และบริษัทผลิตสื่อโฆษณา เพราะวงเงิน 20 ล้านบาทที่บริษัทต้องการนำไปหักภาษีนั้น ข้อเท็จจริงเขาจ่ายให้บริษัทผลิตสื่อแค่ส่วนของการหักภาษีรายได้ 2% (ภาษีจ้างทำของ) และมีการตกลงส่วนต่างกันอีกประมาณ 10% เท่านั้น
       
       ผลที่ตามมาก็คือบริษัทผลิตสินค้ารายนั้น ได้นำใบเสร็จ 20 ล้านบาทไปหักในรายได้บริษัท มีผลทำให้เขาประหยัดภาษีได้มาก ขณะเดียวกันเขาก็เสียเงินให้กับบริษัทผลิตสื่อแค่ประมาณ 2 ล้านที่ถือเป็นเงินใต้โต๊ะเท่านั้น
  9. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เลี่ยงภาษีแบบเห็นๆ สำหรับวิธีการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจพัฒนาที่ดินที่นิยมเลี่ยงภาษีกันมากส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็ก รายกลาง และอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด จะกระทำโดยการแบ่งขายและประกาศขายที่ดินเปล่าเท่านั้น
       
       “หากสรรพากรไปตรวจบริษัทเหล่านี้จะอ้างว่า เขาขายเฉพาะที่ดินเปล่า และผู้ซื้อไปว่าจ้างปลูกบ้านกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเขา
       
       
ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นการขายที่ดินพร้อมบ้าน แต่แบ่งแยกเป็น 2 สัญญา คือสัญญาซื้อขายที่ดิน กับสัญญาว่าจ้างปลูกบ้าน เพื่อเลี่ยงภาษีรายได้ในส่วนของการปลูกบ้านที่ไม่ต้องจ่ายให้กับรัฐ
       
       
10. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียม ของนักพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลายจังหวัด จะมีการประกาศขายห้องชุดเพียงบางส่วน และมีการเก็บห้องชุดอีกส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้ประกอบกิจการโรมแรม
       
       “บริษัทพวกนี้จะไม่ยอมแสดงรายได้ที่เกิดจากการให้บริการกิจการโรมแรม เพราะรายได้จำนวนนี้ความจริงแล้วต้องนำมาคำนวณ vat เขาก็หลบเลี่ยง ซึ่งสรรพากรก็ต้องไปติดตามเพื่อให้เขาเสียภาษีและมีรายได้เข้ารัฐ
       
       
แหล่งข่าวอธิบายอีกว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ก็คือ เมื่อไปตรวจพบการเลี่ยงภาษีและบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ ผู้เลี่ยงภาษี หรือโกงภาษี ก็จะใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาบีบข้าราชการที่ปฏิบัติงานทันทีเช่นกัน
       
       “พวกเราเจอนักการเมืองบีบมาตลอด โดยเฉพาะพวกธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นของนักการเมือง ต้องบอกว่าพวกนี้มีประตูเลี่ยงภาษีเยอะที่สุด และชอบใช้อำนาจข่มขู่ข้าราชการเพื่อไม่ให้พวกเราสืบสาวที่มาที่ไปมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าบริษัทตัวเองโกงภาษี
       
       
ถึงเวลาแล้วที่กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการกับผู้ที่เลี่ยงภาษีทุกราย และจะต้องไม่กระทำเฉพาะกับศิลปินดารา แต่จะต้องดำเนินการเปิดโปง บริษัท นักธุรกิจ นักการเมืองทุกรายที่เลี่ยงภาษีให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อไม่ให้บริษัท หรือบุคคลอื่นๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป 

ข้อมูลจาก:  ASTVผู้จัดการออนไลน์