หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สอนทำปากกา ipad ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง



iPad มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้มากมาย และเมื่อได้ใช้งานแอพพลิเคชั่นประเภทขีดๆ เขียนๆ โดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นสำหรับวาดภาพด้วยแล้ว การใช้นิ้ววาดภาพยังไงก็คงจะไม่ถนัดมือเหมือนกับการใช้ดินสอหรือปากกา ครั้นจะไปซื้อปากกาสำหรับ iPad มาใช้ราคาก็แพงเอาการ เรามาทำปากกาคุณภาพดีราคาถูกใช้เองน่าจะดีกว่า ด้วยขั้นตอนสั้นๆ และอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายดังนี้

อุปกรณ์
- ปากกาลูกลื่นที่ไม่ใช้แล้ว
- Conductive Foam (โฟมชนิดพิเศษที่นำไฟฟ้าได้ หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า)
- สายไฟเส้นเล็ก สามารถดัดงอได้
- เทปกาว
- กรรไกร

ขั้นตอน
1. แกะไส้ปากกาออกเพราะเราจะใช้แต่ปลอกปากกาเท่านั้น
2. ตัดสายไฟให้ยาวประมาณ 3 เท่าของความยาวปากกา ปอกสายไฟที่ส่วนหัวและท้ายให้หมดให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นทองแดง
3. นำแผ่นโฟมมาตัดเป็นชิ้นพอประมาณเพื่อทำเป็นหัวปากกา
4. ปั้นแผ่นโฟมให้เป็นก้อนกลมๆ เหมือนหัวปากกาและมัดด้วยสายไฟให้แน่น
5. สอดสายไฟเข้ากับปลอกปากกาและให้โฟมอยู่ที่ด้านหัวปากกา
6. ดึงสายไฟออกทางปลายปากกาและพันรอบปลอกปากกาให้แน่น
7. ยึดสายไฟและโฟมให้ติดกับปากกาด้วยเทปกาวให้แน่นหนา ตัดแต่งด้วยกรรไกรให้เรียบร้อย
8. ปากกาสำหรับ iPad พร้อมให้ทดสอบใช้งาน

Tips (ใส่เป็นปุ่มซ่อนไว้ให้อ่านเพิ่มได้)
การที่เราต้องใช้ Conductive Foam ในการทำปากกาสำหรับ iPad ก็เพราะว่าหน้าจอของ iPad เป็นแบบ Capacitive touch-screen ที่จะอาศัยหลักการของไฟฟ้าสถิตในตัวเราเพื่อนำไปคำนวณตำแหน่งที่ถูกสัมผัสบนหน้าจอ ดังนั้นปากกาทั่วไปจึงไม่สามารถนำมาใช้กับ iPad ได้ ต้องเป็นปากกาที่สามารถถ่ายเทไฟฟ้าสถิตในตัวเราไปยังหน้าจอ iPad ซึ่งพระเอกใน DIY ของเราก็คือ สายไฟกับโฟมที่นำไฟฟ้าได้นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอกาสทอง


โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในการลงทุนนั้น ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน "หัว" ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะๆ

หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่างๆ แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ

อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล เรียกว่าเป็น "โอกาสทอง" ได้ ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ

กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลังๆ ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้าง ก็คือ "หุ้นตัวจิ๋ว" นี่คือ บริษัทที่มี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทเล็กมาก ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท หุ้นบางตัวมีมูลค่าแค่ 200-300 ล้านบาทก็มี การมองหุ้นเหล่านี้ ผมไม่ได้มองเฉพาะว่ามันเล็ก แต่ผมจะมองแล้วเปรียบเทียบกับตัวธุรกิจด้วยว่าเป็นอย่างไร มัน "สมศักดิ์ศรี" ไหม ธุรกิจมันควรจะมีค่ามากกว่านั้นหรือไม่ นอกจากมูลค่าหุ้นแล้ว ผมก็มักจะดูด้วยว่ามันมีหนี้เงินกู้มากน้อยแค่ไหนและธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายมากน้อยแค่ไหน ถ้าไปเจอว่าหุ้นมันถูกเกินไปแต่ดูไปแล้วธุรกิจก็ยังมีปัญหา เช่น หนี้ยังสูงเกินไป แบบนี้เราก็ต้องรอว่าเขาจะมีการปรับโครงสร้างการเงินที่เหมาะสมได้หรือไม่ ถ้าวันไหนมันชัดเจนแล้ว เราจึงพิจารณาซื้อหุ้น เมื่อซื้อแล้ว ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ไม่ควรรีบขาย เพราะหุ้นตัวเล็กนั้น โอกาสที่จะขึ้นไปสูงขนาดเป็นเท่าๆ ตัวก็เป็นไปได้ไม่ยาก ปัญหาของหุ้นที่มีขนาดเล็กมากนั้น ก็คือ บางทีเวลาเราต้องการซื้อหุ้นจำนวนมาก เรามักจะทำไม่ได้เพราะราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปมากและทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่ไม่ถูกอีกต่อไป ดังนั้น สำหรับคนที่มีพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่ การเล่นหุ้นตัวเล็กก็ทำได้จำกัด

หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมมักจะจับตามองเป็นระยะ ก็คือ หุ้นวัฏจักร ที่อยู่ในช่วง "ขาลง" ตัวอย่างเช่น หุ้นเรือ ผมจะเฝ้ามองว่ามันกำลังลงไปถึงจุดไหน โดยทั่วไปผมอยากจะเห็นว่าธุรกิจนั้นได้ตกต่ำลงไปถึงจุดต่ำสุดซึ่งก็คือเมื่อผลการดำเนินงานประจำปีของบริษัททุกรายหรือเกือบทุกรายขาดทุน ถ้าจะให้ดี ก็คือ ขาดทุนมากๆ จนแทบเอาตัวไม่รอด แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น และนั่นก็จะทำให้ผมเฝ้าดูหรือติดตามหุ้น "ฟรี" ไม่ได้อะไรเลย คนที่ชำนาญหรืออยู่ใกล้ชิดอุตสาหกรรมเรืออาจจะทำกำไรได้โดยการติดตามอัตราค่าระวางเรือ และสามารถทำกำไรจากหุ้นได้โดยไม่ต้องรอผลประกอบการ แต่เนื่องจากผมเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ดังนั้น ผมจึงต้องยอมให้มันผ่านไป เหนือสิ่งอื่นใด ผมไม่ได้เดือดร้อนถ้าไม่ได้กำไรจากธุรกิจเดินเรือ แต่ถ้าจะลงทุน ผมอยากจะได้กำไรมากๆ โดยการรอจนกว่าโอกาสทองจะเกิด ถ้ามันไม่เกิดก็ "ช่างมัน"

หุ้นกลุ่มที่สาม ก็คือ กลุ่ม Fallen Angel หรือ "นางฟ้าตกสวรรค์" นี่คือ หุ้นที่เคยโดดเด่นมาก แต่แล้วก็เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้ผลประกอบการแย่ลงมาก ราคาหุ้นก็มักจะตกตาม บางทีมากยิ่งกว่าผลประกอบการ ประเด็น ก็คือ เราต้องพยายามศึกษาให้รู้ว่าเหตุที่ว่านั้นคืออะไรและบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าไม่มั่นใจว่าเรารู้สาเหตุหรือไม่มั่นใจว่าบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่ เราก็รอ และเฝ้าจับตาไปเรื่อยๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการตกต่ำลงมันใกล้จะหมดไปหรือยัง ถ้าดูแล้วชัดเจนว่าบริษัทกำลังฟื้นตัวขึ้นและจะกลับมาโดดเด่นได้เหมือนเดิม การลงทุนในหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็มักจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำและผลตอบแทนนั้นจะต่อเนื่องไปได้ อาจจะหลายๆ ปีโดยไม่ต้องรีบขายหุ้น

ว่าที่จริง นี่ก็คือ การลงทุนในสไตล์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ แนวหนึ่ง นั่นก็คือ การซื้อหุ้น Super Stock ในเวลาที่มันมีปัญหาเฉพาะที่สามารถแก้ไขได้ แต่ในกรณีนี้ บัฟเฟตต์จะต้องมั่นใจว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและแก้ไขได้แน่นอน ดังนั้น เขาอาจจะไม่รอเป็นปี ๆ แต่จะซื้อหุ้นทันทีที่มันตกลงมามากๆ

หุ้นกลุ่มที่สี่ ก็คือ "หุ้นที่มีทรัพย์สินมาก" นี่ก็คือ หุ้นที่มีทรัพย์สินสุทธิมากเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้น ตัวแทนที่ดีและดูง่ายของหุ้นที่มีทรัพย์สินมากก็คือ ค่า PB หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น ในสภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้ ค่าเฉลี่ยของค่า PB ทั้งตลาดก็คือประมาณ 2 เท่าเศษๆ แต่หุ้นบางตัวที่เราเห็นนั้น มีค่าเพียง 0.8 เท่า และเรายังรู้สึกอีกว่าทรัพย์สินจริงๆ ของบริษัทที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นราคาตลาดนั้นยิ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีด้วย

แบบนี้ เราก็อาจจะจับตามองว่าหุ้นตัวนี้อาจจะถูกเกินไปเมื่อมองจากทรัพย์สิน สาเหตุอาจจะเป็นอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหน กำไรอาจจะต่ำเห็นได้จากค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่าปกติเช่นต่ำกว่า 10% เป็นต้น และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงกว่าปกติ เราคงต้องเฝ้าดูว่าเมื่อไรสิ่งนั้นจึงหมดไป ถ้ามันเป็นเพราะการควบคุมทางด้านราคาจากภาครัฐ เราก็อาจจะต้องรอว่าเมื่อไรราคาจะได้รับการปรับขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือ เฝ้ารอ "โอกาสทอง" ดังกล่าว และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็เข้าไปซื้อหุ้นและทำกำไรงามจากมัน

หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ "หุ้นโตเร็วที่คนยังไม่ตระหนัก" นี่คือ หุ้นที่มีคุณสมบัติตามชื่อ คือ เป็นหุ้นที่โตเร็ว อาจจะถึงปีละ 15% โดยเฉลี่ยในระยะอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังไม่รู้หรือไม่ตระหนักว่ามันกำลังจะโต เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งจะเริ่มเติบโตอย่างจริงจังหลังจากที่ "บ่มเพาะตัว" มาได้ระยะหนึ่ง หรือไม่อย่างนั้น บริษัทก็อาจจะโตเฉพาะทางด้านของยอดขายแต่กำไรอาจจะยังไม่มาเนื่องจากอยู่ในช่วงของการสร้างยอดขายที่จะทำให้กิจการถึงจุดที่จะมี Economies of Scale คือ มีขนาดใหญ่พอที่จะเริ่มทำกำไรได้ ดังนั้น คนจึงอาจจะไม่ทันสังเกตว่าบริษัทนั้นโตเร็ว

ด้วยเหตุดังกล่าว ราคาของหุ้นก็ไม่ดีนัก ค่า PE ก็อาจจะไม่สูง ถ้าเราค้นพบและซื้อหุ้นแบบนี้ไว้ ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคาดได้ว่ากำไรนั้นจะเติบโตต่อไปอีกหลายๆ ปี คนก็จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นและเข้ามาซื้อ ซึ่งจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นสอดคล้องกับกำไรที่เพิ่มและสอดคล้องกับค่า PE ที่สูงขึ้น เท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น "สองเด้ง" คนที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้จะต้องไม่รีบขายทำกำไร เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น มักจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างยาวนานตามการเติบโตของบริษัท

โอกาสทองในหุ้นทั้งห้ากลุ่มดังที่กล่าวมานั้น แน่นอน ไม่ใช่มาได้ง่ายๆ บ่อยครั้ง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเฝ้าจับตามองนั้น มันก็มาจริงๆ หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี แต่ในระหว่างที่รอนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นลดลงเรื่อยๆ อย่าลืมว่า กิจการที่ดีขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น Value ได้ ถ้าราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเท่าๆ กันหรือมากกว่า โดยประสบการณ์ของผม ถ้าในแต่ละปีเราสามารถหาหุ้นที่เราเจอ "โอกาสทอง" ได้สักหนึ่งตัว เราก็โชคดีมากแล้ว เพราะนี่คือ หุ้นที่สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้กับพอร์ตของเราได้

ขอขอบคุณแหล่งที่มา: Getset MoneyTherapy (www.moneychannel.co.th)

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'



คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นจริง
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็นความจริง!!!

ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!

โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง
ลูกอีสานของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่นไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวันตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800
,000 บาท กลับมาพิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน


เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้กรุงเทพธุรกิจ
BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือหุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา

การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ
จำกัดความเสี่ยง

ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ

คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ
หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้ ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น ซูเปอร์สต็อกถูกแพงไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย ชอบมาก

สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.."ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น

"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"

ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (
margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท

โจ สรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า
P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง

สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (
ROE) ต้องมากกว่า 15% สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย

ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะเคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้องตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมาก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว

ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คนส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง

"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัทแล้ว"

มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา" และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับนายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพลของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก

"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ
เจ๊ง เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ

โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาสชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น

ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไปและ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!

รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"

ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ปี) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟังคำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง

"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้
อินไซเดอร์ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"

ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส
, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขายไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด

เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลายกองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี

"ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น บ่อเงินบ่อทองขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้"
**************************

เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ
'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ที่มา :
http://bit.ly/S66kPE
และ
:  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34463

ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

“The Stock Master” ปั้นฝันนักลงทุนพันธุ์ใหม่


หน้าที่ของโบรกเกอร์ ไม่ได้แค่แสวงหาผลกำไรให้ธุรกิจ ทว่าพันธกิจสำคัญของพวกเขาคือการพัฒนาตลาดทุนไทยโดยติดอาวุธความรู้ความเข้าใจให้กับนักลงทุน


ประชากรไทยกว่า 60 ล้านคน ในจำนวนนี้มีนักลงทุนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทุนเพียง 7 แสนราย คนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่กล้า กลัวความเสี่ยง บางคนเข้ามาด้วยความไม่รู้ พอผิดหวังก็เข็ด ทัศนคติเป็นลบ !

..สารพัดเหตุผลที่ทำให้ตลอดกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา การเติบโตของฐานนักลงทุนบ้านเรายังน้อยนิด

ฐานนักลงทุนบ้านเราเติบโตปีละไม่ถึง 10% ตอนนี้มีอยู่แค่ 7 แสนคน ที่เทรดกันอยู่ทุกวัน กับวอลุ่มที่ประมาณหมื่นล้านบาท เรียกว่า เติบโตน้อยกว่าที่ทุกคนคิด

บรรณรงค์ พิชญากรกรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง บอกเล่าพัฒนาการด้านการลงทุนของประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผ่านสายตาคนในแวดวงอย่างเขา

หนึ่งแนวโน้มดีๆ ที่มีอยู่บ้าง คือการเติบโตของเทคโนโลยีอย่างอินเทอร์เน็ตซึ่งเข้าถึงผู้คนมากขึ้น ทำให้กลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ มีโอกาสมาเรียนรู้และสบช่องเข้าสู่ตลาดทุนเพิ่มขึ้น ด้วยช่องทางที่ง่ายและใกล้ตัว

เมื่อก่อนเรื่องนี้ดูไกลตัวมาก อย่างอยากรู้ราคาหุ้นก็ต้องโทรหาโบรกเกอร์ แต่วันนี้เขามีอินเทอร์เน็ต สามารถเปิดหน้าจอเช็คราคาหุ้นด้วยตัวเองได้ คนรุ่นใหม่จึงเริ่มตื่นตัว สนใจ อยากเข้ามา แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ เพราะไม่มีความรู้ บางคนเข้ามาแบบผิดๆ ถูกๆ พอผิดหวังเข้า เลยเข็ดไม่กล้าเข้ามาอีก ซึ่งมีอยู่เยอะมากสำหรับนักลงทุนบุคคล

นี่คือปัญหาที่พวกเขามองเห็น แล้วในฐานะของคนอยู่ในธุรกิจ จะมีส่วนร่วมจัดการปัญหาได้อย่างไรบ้าง

ในฐานะโบรกเกอร์ ผมไม่ได้มองว่าเราต้องพยายามทำให้เกิดปริมาณธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่อยากมองอะไรที่ยั่งยืนกว่านั้น เราต้องการขยายฐานนักลงทุนให้มากขึ้น แต่ขยายฐานอย่างเดียวไม่พอ เราจะต้องส่งเสริมเขาด้วย ติดอาวุธให้เขามีความรู้ ความเข้าใจด้านการลงทุน เราต้องการพัฒนานักลงทุนที่มีคุณภาพให้เข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น

นั่นคือที่มาในความพยายามตลอดหลายปี ของ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง ในการดำเนินธุรกิจควบคู่การพัฒนาความรู้ความเข้าใจของนักลงทุน

เราเริ่มพัฒนาโปรดักท์และบริการ ที่มุ่งเน้นการให้ความรู้โดยตรงไปยังกลุ่มนักลงทุน

เขายกตัวอย่าง บัวหลวง
iExcel บริการข้อมูลแบบ Real-time เพื่อส่งข้อมูลราคาล่าสุด ปริมาณการซื้อขาย และข้อมูลอื่นๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ไปยัง Microsoft Excel ของลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง เพื่อให้นักลงทุนที่ต้องการสร้างหน้าจอเพื่อติดตามการลงทุน ในแบบฉบับของตัวเองได้

เราพัฒนาโปรแกรมที่เขาสามารถเอาข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มคนที่อยากศึกษา ทำการคำนวณ ตรวจสอบข้อมูลทั้งก่อนและหลังการลงทุน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

รวมถึงพัฒนา "
บัวหลวง ไอชาแนล" แอพพลิเคชั่นเพื่อนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนเป็นช่องทางรับความรู้ด้านการลงทุน งานวิจัย รับฟังบทวิเคราะห์ด้านการลงทุน ได้ง่ายๆ และสุดสะดวก ผ่านอุปกรณ์ใกล้ตัวอย่างสมาร์ทโฟน ผ่านมา 1 ปี มียอดดาวน์โหลดแล้วนับหมื่นดาวน์โหลด

ตลอดจนการจัดฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการลงทุนเป็นประจำทุกเดือน พร้อมถ่ายทอดลงอินเทอร์เน็ต ให้ความรู้ผ่านแฟนเพจในเฟซบุ๊ค เพื่อให้ผู้คนที่สนใจโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้เข้าถึง
คลังสมอง ด้านการลงทุนได้มากขึ้น

ล่าสุดกับ โครงการ The Stock Master สอนและพัฒนานักลงทุน ในรูปแบบเทรดดิ้งเรียลลิตี้ครั้งแรกของเมืองไทย ลงเงินจริง ไม่ใช้เงินจำลองเหมือนที่นิยมในอดีต เพื่อเป้าหมายพัฒนานักลงทุนคุณภาพ ชนิดรู้ลึก รู้จริง ด้วยตัวเอง

อยากทำเป็นกึ่งๆ เทรดดิ้งเรียลลิตี้ ที่ลงเงินจริง เพราะเงินจำลองพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาได้กลับไปไม่มีประโยชน์ เราอยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการเทรนด์คน ให้ความรู้เขา อยากให้เห็นว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย ทุกคนก็ทำได้ แต่การจะทำ เขาต้องเปิดใจที่จะเข้ามาศึกษาด้วย ที่สำคัญต้องลงมือทำ เรียกว่าได้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ และทำให้สนุกขึ้นด้วยการจัดการแข่งขัน เป็น Education + Entertainment”

คน 20 ชีวิต กับเงินในมือคนละ 100
,000 บาท พร้อมเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะแบบ เล่นจริง เจ็บจริง ทุกคนจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มีคอร์สอบรมแบบจัดเต็ม 8 ครั้ง มีการประคับประคอง ด้วยเหล่ากูรูที่จะมาให้คำปรึกษา มีกระบวนการให้ความรู้ตลอดการแข่งขัน

คนที่เข้ามาจะต้องสนใจเรื่องการลงทุน เขาต้องเข้าร่วมกระบวนการในการให้ความรู้ของเรา แม้ใช้คำว่าเรียลลิตี้แต่คงไม่ได้ไปติดตามดูชีวิตเขาตลอด 24 ชม. แต่จะติดตามความรู้สึกนึกคิดของขา ความคิดความอ่าน พัฒนาการด้านความรู้ความเข้าใจ เรามีการลงทุนจริง และมีโจทย์ให้เขา เพราะอยากให้ทุกคนได้ไปทำการบ้าน ในจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน

คลิปของผู้แข่งขันจะนำเสนอผ่านช่องทางเฟซบุ๊ค เพื่อถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ไปยังสาธารณชนภายนอกขณะที่ผู้แข่งขัน จะโพสต์ข้อความ ถ่ายทอดความนึกคิดของตัวเอง ต่อการลงทุนในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าไปติดตาม เรียนรู้ และให้กำลังใจพวกเขา

โดยการแข่งขันจะวัดผลแพ้ชนะจากมูลค่าพอร์ตที่ลงทุน ใครสูงสุดก็ได้รางวัลไป 1 แสนบาท แน่นอนว่าแค่รางวัลหรือกระแสที่คนจะพูดถึงรายการ ไม่ได้เป็นเป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาหวังไว้

ผมอยากเห็นนักลงทุนที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยพื้นฐานผมไม่ใช่นักการตลาด ฉะนั้นผมคงไม่หวังแค่เรื่องผลตอบรับด้านการตลาด แต่ผมหวังนักลงทุนที่จะมีความรู้ ความเข้าใจ เราจะใส่ทุกอย่างที่เขาควรรู้ จนเขากลายเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพขึ้นมา ผมจะไม่บอกว่าโครงการนี้พอร์ตคุณกำไรแน่นอน แต่สิ่งที่เขาจะได้แน่นอนคือ องค์ความรู้ที่ติดตัวเขาไปตลอด

ท่ามกลางการเกิดขึ้นของเซียนหุ้นหน้าใหม่ และผู้ที่ประสบความสำเร็จในแวดวงตลาดทุน ซึ่งเปิดเผยผ่านสื่อ มากขึ้น บรรณรงค์ บอกว่า เป็นเรื่องดีที่นักลงทุนจะมีไอดอลของตัวเอง แต่สิ่งที่ไม่ควรหลงลืมไป คือ ความสำเร็จของคนเหล่านั้นล้วนไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการทำงานอย่างมุ่งมั่น ศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่ จนมาสู่ความสำเร็จได้

กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ทุกคนต้องทำงานหนัก คำว่าทำงานคือ เมื่อเขามุ่งมาทางด้านการลงทุน เขาก็จะศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่ และมุ่งมั่น ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา ก็ต้องลงไปศึกษา ว่าคนเหล่านั้นมุ่งมั่นอย่างไร ทำงานกันอย่างไร สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมอยากให้ศึกษาหาความรู้ให้มากๆ ให้เวลากับมัน แล้วลงมือทำ เพื่อโอกาสประสบความสำเร็จ เหมือนนักลงทุนต้นแบบ เหล่านั้น

เริ่มต้นจากการสร้างนักลงทุนคุณภาพ เพื่อสังคมคุณภาพในตลาดทุนของบ้านเรา
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ


วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ใครขี้ลืม…มาทางนี้มีทางแก้

คุณเคยประสบปัญหาเช่นนี้บ้างไหม...

- ลืมสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำ คือ มักลืมในสิ่งที่ไม่น่าจะลืม เช่น ลืมปิดน้ำ ลืมปิดไฟ ผิดนัดสำคัญ ลืมว่าต้องไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะจำได้ก็เลยกำหนดเวลาชำระเงินไปแล้ว

- ลืมบุคคล คือ การจำชื่อคนไม่ได้ การจำหน้าคนที่รู้จักไม่ได้ ซึ่งอาการลืมบุคคลนี้ บางคนอาจจะจำได้แต่ชื่อ บางคนอาจจะจำได้แต่หน้าตา บางคนอาจจะอาการหนักถึงขั้นที่จำไม่ได้ทั้งชื่อและหน้าตาของคนที่รู้จักมัก คุ้นเป็นอย่างดีหรือแม้กระทั่งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยรู้จักคนๆนี้มาก่อน

- ลืมสถานที่ คือ การลืมทิศทาง ไม่สามารถจดจำสถานที่ต่างๆที่ตนเองเคยไปได้ หรือจำไม่ได้ว่ากำลังจะไปที่ไหน

- ลืมบทเรียน ข้อ นี้เป็นผลเสียต่อผู้ที่ยังอยู่ในวัยเรียนเป็นอย่างมาก คือ การที่ไม่สามารถจดจำบทเรียนต่างๆที่ตนเองเคยเรียน เคยอ่านหรือเคยพยายามท่องจำ เช่น สูตรคณิตศาสตร์ สูตรวิทยาศาสตร์ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ บางคนเป็นมากถึงขนาดที่พอคุณครูพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ลืมเสียแล้ว

- ลืมเหตุการณ์ที่สำคัญ คือ การลืมเหตุการณ์หรือวันสำคัญต่าง ๆ ในชีวิตที่ควรจดจำ เช่น ลืมวันเกิดของตัวเองหรือของคนในครอบครัว ลืมวันครบรอบงานแต่งงาน
สาเหตุการหลงลืมมีได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ เรื่องสุขภาพร่างกาย ความเครียดและความวิตกกังวลต่างๆ ปัญหาที่มีมากมายในชีวิตหรือการมีงานหลายอย่างที่ต้องจัดการ ปัญหาการหลงลืมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเหตุให้รำคาญใจทั้งกับตนเองและผู้คนรอบข้าง

ผู้เขียนจึงขอนำเสนอวิธีช่วยคนขี้ลืมให้หายลืมแบบง่าย ๆ มาฝาก ดังนี้

1.เขียนโน้ตติดไว้ในที่ ๆ เห็นชัดเจน เช่น ที่โต๊ะทำงาน กระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เย็น ทางเดินที่ต้องผ่านบ่อยๆ ในรถ โดยใช้กระดาษโน้ตหรือจะเป็นบอร์ดเล็กๆก็ได้ เลือกขนาดและสีสันที่มองเห็นได้ง่าย วิธีนี้เป็นวิธีเตือนความจำอย่างง่าย ๆ ที่ได้ผลดีมากวิธีหนึ่งและเป็นวิธีแรกๆที่คุณหมอมักแนะนำให้ใช้ปฏิบัติ

2.ฝึกสมองอยู่เสมอ โดยการกระตุ้นให้สมองได้ทำงานและได้ออกกำลังผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นเกมส์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยทำให้สมองได้พัฒนากระบวนการคิดและช่วยฝึกในด้าน ความจำเป็นอย่างดี

3.เล่นโยคะ ปัจจุบันมีผู้หันมาเล่นโยคะเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากกิจกรรมโยคะจะช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้นแล้ว การควบคุมจังหวะการหายใจเข้าออก ยังช่วยทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งมีผลในการช่วยเรื่องของความจำที่ดีด้วย

4.ฝึกภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น การเรียนภาษาเป็นวิธีการพัฒนาความจำได้ดีมากอีกวิธีหนึ่ง เพราะในการเรียนภาษาต่าง ๆ นั้น การใช้ความจำก็มีความสำคัญมาก ทั้งการจำตัวอักษร การจำโครงสร้างไวยากรณ์ฯ ดังนั้นเมื่อเราได้ฝึกเรียนภาษาอื่นจึงทำให้เราได้ฝึกใช้ความจำ ซึ่งการฝึกภาษาต่างประเทศอาจทำโดยการฝึกด้วยตนเอง เช่น ซื้อหนังสือมาอ่าน หา DVDภาพยนตร์หรือเพลงต่างประเทศมาดูและฟัง หรือการฝึกโดยอาศัยผู้อื่น เช่น สมัครเรียนที่โรงเรียนสอนภาษา

5. อย่าทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้า รู้ว่าตนเองเป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมและไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไรก็ไม่ควรทำงาน หลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ท่องหนังสือและดูทีวีไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้การท่องจำบทเรียนไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร พูดโทรศัพท์ในขณะขับรถ นอกจากอาจจะทำให้หลงทางเสียเวลาแล้ว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพราะขาดสมาธิและไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้อย่าง เต็มที่

6.มีสมุดบันทึก คนขี้ลืมทุกคนควรมีสมุดจดบันทึกพกติดตัวไว้เสมอ โดยสามารถจดสิ่งต่าง ๆ ที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นไว้ในสมุดนี้ เช่นงานที่ต้องทำ การนัดหมายในแต่ละวัน ข้อมูลต่าง ๆ ของคนในครอบครัว เพื่อน ลูกค้า เช่น วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ หากจำอะไรไม่ได้ก็จะสามารถเปิดดูข้อมูลต่าง ๆ ได้จากในสมุดบันทึกนี้

7.ท่องเที่ยวเพิ่มความจำ การเดินทางท่องเที่ยวเป็นการช่วยกระตุ้นความจำได้ดี เพราะการไปยังสถานที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ การได้พบเจอหรือสัมผัสกับผู้คน อากาศ สถานที่ ๆ เราไม่คุ้นเคยจะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน ช่วยให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นวิธีเสริมความจำดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ความจำและกระตุ้นให้สมองของเราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

วิธีแก้ลืมทั้ง 7 ข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโน้ตติดไว้ในที่ ๆ เห็นชัดเจน การฝึกสมองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เล่นเกมส์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ การเล่นโยคะ การฝึกภาษาต่างประเทศ การระวังที่จะไม่ทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การมีสมุดบันทึกและการใช้เวลาว่างในการท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และเพิ่มความจำให้กับสมอง เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่คุณทุกคนสามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์และเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการ ขี้ลืมให้แก่ทุกท่านได้อย่างเป็นผลดีไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Manager Online
และแหล่งที่มา http://www.thaihealth.or.th/partner/blog/20492

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข้อผิดพลาด 10 ประการของนักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์


ตลาดอนุพันธ์หรือตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Future) เป็นตลาดทุนที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงการตื่นตัวของนักลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ยังพยายามผลักดันให้ตลาดแห่งนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามมุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ โลหะเงิน น้ำมัน หรือล่าสุดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแม้ยังไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควรเหมือนในต่างประเทศ แต่ยังไงก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามผลักดันให้ตลาดเติบโตมากแค่ไหน แต่สัดส่วนนักลงทุนที่สามารถทำกำไรได้กลับไม่ได้เติบโตตาม และต้องยอมรับความจริงที่ว่า นักเก็งกำไรในตลาดในตลาดฟิวเจอร์ ส่วนใหญ่มากกว่า 80% จะเป็นผู้ขาดทุน และมีเพียง 20% เท่านั้นที่กำไรและเสมอตัวอยู่ในตลาด ไม่ต่างไปจาก กฎ 80/20 ของพาเรโต ที่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้จะประกอบด้วยสัดส่วน 80/20 อยู่เสมอนั่นเอง

ซึ่งสัดส่วนดังกล่าว จริงๆก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะในโลกของเราทุกวันนี้ ก็มักมีคนที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนที่ล้มเหลวอยู่แล้ว เพียงแต่ประเด็นที่สำคัญอยู่ที่ว่า ในกลุ่ม 80% นั้น จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด พัฒนาตนเองและเดินแซงหน้าเพื่อมาอยู่ในกลุ่ม 20% ให้ได้ นั่นคือสิ่งท้าทายที่นักลงทุนทุกคนจะต้องทำหากคุณยังต้องการจะอยู่ในตลาดนี้ต่อไป........

ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของนักลงทุนส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอน ล้มเหลวนั้น พบว่ามีข้อผิดพลาดในการลงทุนบางประการที่คล้ายๆ กัน ดังนั้นหากเราเข้าใจถึงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้และพยายามหลีกเลี่ยงมันได้ก็จะทำให้เรามีโอกาสเข้าไปอยู่ในกลุ่ม 20% มากยิ่งขึ้น

1. Over Trade การลงทุนเกินกำลังของตัวเอง

เนื่องจากการลงทุนในตลาด
Futures นั้นใช้หลักประกันเพียงบางส่วนเพื่อทำการซื้อขายสัญญา ซี่งบางสินค้า ใช้เงินหลักประกันเริ่มต้นเพียง 10% เท่านั้น ดังนั้นหากนักลงทุนมีหลักประกันหรือเงินลงทุนที่น้อยแต่อยากที่จะลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มเพดานวงเงินที่สามารถเล่นได้ โดยลืมประเมินถึงมูลค่าของสัญญา และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงในการขาดทุนได้

โดยสถานการณ์ที่ทำให้คนมักลืมตัว และเริ่ม
Over trade มีหลายกรณี แต่หลักๆ คือ คนที่มีกำไรในช่วงแรกจนได้ใจ แล้วเกิดความโลภอยากได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งมนุษย์ไม่เคยมีความพออยู่แล้ว จึงพยายามเปิดสถานะเพิ่มเพื่อทำกำไรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนลืมคิดว่าเงินที่ลงทุนจริงอาจไม่เพียงพอหากตลาดกลับทางกับสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ อีกกรณีหนึ่งคือ คนที่เล่นผิดขาและขาดทุน พวกนี้มักจะพยายามเฉลี่ยต้นทุนเพราะไม่สามารถยอมรับว่าตัวเองผิดพลาดได้ ยิ่งขาดทุน ยิ่งหน้ามืดและยิ่งพยายามเปิดสถานะเพิ่ม เพราะหวังว่ามันจะเด้งกลับมา

เราจะเห็นว่า ความโลภและความดื้อรั้น จะนำมาซึ่งการขาดสติ และมักจะทำให้เกิดความเสียหายตามมา เปรียบเสมือนนักพนันที่เล่นตามบ่อนซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดควรหยุดหรือถอย คนกลุ่มนี้จะยอมจบเมื่อหมดตัวเท่านั้น

2. Always to be the Victor ต้องการเป็นผู้ชนะตลอดเวลา

ไม่มีใครที่สามารถเทรดได้ถูกต้องทุกครั้ง ดังนั้นการได้กำไรและขาดทุนจึงเป็นเรื่องปรกติ ไม่ต่างอะไรจากเกมส์กีฬา ที่จะมีทั้งแพ้ และชนะผสมกันไป เพียงแต่เราแค่ต้องพัฒนาทักษะที่จะสามารถให้ครั้งที่ถูกมากกว่าครั้งที่ผิด (
Win/loss Ratio) รวมถึงต้องพยายามควบคุมความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk and Reward) เพื่อจำกัดการขาดทุนในครั้งที่ผิด และการขยายจำนวนกำไรให้มากที่สุดในครั้งที่ถูก

แต่บ่อยครั้งที่จะเห็นว่า ผู้ที่เคยประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้น ที่ถือคติไม่ขายไม่ขาดทุน อาจนำมาใช้กับตลาดอนุพันธ์ไม่ได้เพราะ เนื่องจากความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ที่มีการกำหนดระยะเวลาของอายุสัญญา รวมถึงการคำนวนกำไรขาดทุนเป็นวัน และต้องมีการเรียกหลักประกันเพิ่ม ดังนั้น การทนถือ เพื่อไม่ยอมตัดขาดทุน อาจต้องทำให้เติมเงินไม่รู้จบ หรือการขาดทุนอาจจะมีมากกว่าเงินหลักประกันที่เริ่มใช้ในตอนแรกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ยอมแพ้หรือแพ้ไม่เป็น (ไม่ยอม Cut loss) ก็คือผู้ที่แพ้อย่างแน่นอนในตลาดอนุพันธ์

3.ไม่มีวินัย

นักลงทุนมากมายพยายามตั้งกฎการลงทุนหรือระบบของตัวเองขึ้นเพื่อใช้ในการตัดสินใจเข้าออก แต่กลับพบว่าเมื่อการเทรดเริ่มต้นขึ้น นักลงทุนส่วนมากกลับไม่สามารถควบคุมเกมให้เป็นไปตามระบบได้ เพราะในความเป็นจริงนักลงทุนจะถูกอารมณ์ ทั้งความโลภ ความกลัว ครอบงำจนหมดสิ้น ดังนั้น ไม่ว่านักลงทุนจะมีกฎเป็นร้อยเป็นพันข้อ แต่ถ้าไม่สามารถปฎิบัติได้จริงมันก็คงไม่มีความหมายอะไร

ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เราสามารถซื้อขายตามกฎของเราได้นั้น มีเพียง วินัย เท่านั้นที่จะคอยควบคุมการซื้อขายของเราให้มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้ แต่แม้ว่าวินัยจะสำคัญเพียงไร เราก็ยังพบว่านักลงทุนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่กลับหลงลืมมันเมื่อเข้าสู่สนามแข่งขัน ปล่อยให้การซื้อขายไหลไปตามภาวะอารมณ์ และในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการลงทุนอยู่ร่ำไป

4.ไม่มีการกำหนด Trading plan

การวางแผน เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน ไม่ว่าคุณจะลงทุนในธุรกิจใดก็ตาม ก็จะต้องมีการวางแผนเพื่อจะประเมินถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน แนวโน้ม ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซี่งจะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า มันคุ้มค่าต่อการลงทุนในครั้งนั้นๆ หรือไม่ ซึ่งการลงทุนในหุ้นหรืออนุพันธ์ก็คงไม่แตกต่างกัน เพียงแต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะใจร้อน โดยเข้าลงทุนก่อนแล้วค่อยวางแผน แต่ปัญหาสำคัญที่ตามมาก็คือ เมื่อนักลงทุนเหล่านั้นพิจารณาจาก asset ที่ตนเองลงทุนแล้วพบว่าไม่คุ้มเสี่ยงแต่บังเอิญตนเองได้ซื้อ Asset แล้ว ก็จะพยายามคิดเข้าข้างตนเองด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อให้ตนสบายใจหรือคิดว่าตนเองนั้นคิดถูก ซึ่งท้ายที่สุดก็จะพึ่งโชคชะตา หรือไม่ก็สวดมนต์ภาวนาให้ราคาเป็นไปอย่างที่หวัง

ยิ่งการซื้อขายในฟิวเจอร์นั้น การเทรดจำนวนครั้งที่มากนั้นไม่ได้แปลว่าคุณจะได้กำไรมากตามไปด้วย เพราะทุกครั้งที่ออกหมัดก็เป็นการเปิดความเสี่ยงที่จะโดนสวนหมัดได้ตลอดเวลา จุดนี้คุณต้องตระหนักไว้ตลอดเวลาที่จะตัดสินใจเข้าเทรด

ดังนั้น คนที่จะลงทุนในฟิวเจอร์ จึงจะต้องมีแผนการเทรดก่อนเปิดสถานะเสมอ โดยจะต้องวางระบบที่จะใช้ในการเข้าออก
order วาง target และมีจุด stop loss ที่แน่นอน เพื่อลดปัญหาการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ซี่งเมื่อคุณหาจุดเข้าออกได้แล้ว ก็จะทำให้คุณสามารถประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนในรูปของ Risk to Reward Ratio ของการเทรดของคุณได้ โดยอัตราส่วนนี้ไม่ควรต่ำกว่า 2เท่า เช่น หากต้องการทำกำไรต่อครั้งที่ 6 จุด ดังนั้นการหยุดขาดทุนต้องไม่ให้เกิน 3 จุด เป็นต้น

5.ผูกติดกับข้อผิดพลาด

นักลงทุนหลายคนมักจะย้ำคิดย้ำทำกับข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยๆ จนทำให้การตัดสินใจแต่ละครั้งจะเกิดความลังเล เพราะไม่แน่ใจ ว่าจะผิดพลาดซ้ำกับเหตุการณ์ที่เคยทำผิดมาก่อนหรือไม่ หากจะเปรียบกับนักมวย ก็เหมือนกับโดนต่อยเข้าที่หน้าและเกิดการแหยงหมัด และเมื่อขึ้นชกอีกครั้งก็กลับเกิดการลังเล ชักเข้าชักออก จนต้องโดนต่อยเข้าที่หน้าอีกรอบ พอความกลัวเข้ามา สติเริ่มขาดหาย ก็เปิดหน้าทิ่มหมัดอย่างเดียว ก็เลยถูกต่อยซะน่วม อาการนี้เขาเรียกเมาหมัด ซึ่งสุดท้ายจะหยุดชกได้ก็ต่อเมื่อโดนน๊อค ถ้าเปรียบกันกับผู้ลงทุนในฟิวเจอร์ ก็คือจนกว่าเงินจะหมด จึงจะเรียกสติกลับมาได้

6.ไม่ยอมใช้ Stop condition

เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในตลาดอนุพันธ์ ก็คือการ
Stop loss หรือการหยุดขาดทุน นี่คือวินัยสำคัญอันยิ่งยวดที่ผู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์จะต้องทำให้ได้ เพราะหากไม่สามารถหยุดขาดทุนได้แล้ว ก็เหมือนกับรถยนต์ที่ไม่มีเบรค เพราะต่อให้ผู้ขับเก่งกาจแค่ไหน แต่จะต้องจบลงด้วยการหมดตัวในที่สุด ซึ่งหลักการนี้ทำให้ผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในหุ้น กลับต้องมาขาดทุนในตลาดฟิวเจอร์มานักต่อนักแล้ว เหตุเพราะการลงทุนในฟิวเจอร์ มี leverageค่อนข้างสูง จึงทำให้เวลาขาดทุนมันดับเบิ้ลหลายเท่าเมื่อเทียบกับหลักประกันที่ใช้ลงทุนตั้งต้น ประกอบกับสัญญามีการกำหนดเวลาหมดอายุชัดเจน และมีการบันทึกกำไรขาดทุนจริงทุกวัน จากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการถือแบบลงทุนระยะยาว หรือใช้คติไม่ขายไม่ขาดทุน ในตลาดนี้ ไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจในหลักการข้อนี้แล้ว ก็เท่ากับปิดประตูแพ้ทันที

7. Don’t know Regulations and Rules การที่ไม่ได้ศึกษาถึงกฎกติกาให้ดีก่อน

เช่น สินค้าอ้างอิงว่าเป็นสินค้าอะไร
,เงื่อนไขการวางหลักประกัน, วันหมดอายุสัญญา, มูลค่าของสัญญา ,วีธีการคำนวนราคา Daily Settlement price และ Final Settlement Price ซึ่งข้อผิดพลาดเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดทอนเงินทุนและกำลังใจของผู้ลงทุนก่อนถึงเป้าหมายได้ เปรียบเสมือนเกมส์การแข่งขันในกีฬาแต่ละประเภท หากไม่ศึกษาถึงกฎกติกาวิธีการเล่นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ยากที่จะชนะหรือได้เปรียบต่อนักลงทุนรายอื่นได้ ซึ่งตัวอย่างที่จะเห็นได้ง่ายๆ คือการที่เข้าเปิดสถานะซื้อสัญญาที่กำลังจะหมดอายุ โดยมีราคาสูงกว่า ราคาสินค้าอ้างอิงอยู่มาก ทำให้เมื่อถึงวันหมดอายุสัญญา ต้องขาดทุนอย่างที่ไม่ควร เป็นต้น

8. Hold 2 positions การเปิดสถานะสองด้าน

การเปิดสัญญา 2ด้านใน
Series เดียวกัน (2 legs position) หรือการทำ hedging ด้วยการ Long และ Short คนละSeries (เดือนหมดอายุไม่เท่ากันแต่สัญญาสินค้าอ้างอิงเดียวกัน) เพื่อต้องการแก้ไขพอร์ตการลงทุนหรืออยากทำกำไรทั้งสองด้าน (ทั้งขึ้นหรือลง) ซึ่งที่เห็นส่วนใหญ่นั้น จะเกิดจากการที่นักลงทุนมีการลงทุนที่ผิดทางในครั้งแรก แต่ไม่ยอมปิดสถานะจึงเลือกที่จะทำการถือสถานะทั้งสองด้านเพราะไม่อยากปิดสัญญาด้านแรกที่ต้องรับรู้การขาดทุน ดังนั้นจึงหลอกตัวเองด้วยการไม่ปิดสถานะเพราะเชื่อว่าไม่ปิดก็ยังไม่ขาดทุน

โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวนั้นจะคิดว่าตนเองสามารถแกะสถานะทั้งสองด้านเพื่อทำให้สุดท้ายเกิดกำไรได้ทั้งสองด้าน ซึ่งความเป็นจริงนั้นมันทำได้ยากมาก ดังนั้นการเปิดสถานะทั้งสองด้านจะเป็นปัญหาและอุปสรรคมากกว่า เนื่องจากจะทำให้การตัดสินใจของผู้ลงทุนจะไม่เฉียบคมเพราะการถือสถานะทั้งสองข้างจะทำให้เกิดความลังเลใจเนื่องจากจะมีด้านหนึ่งกำไรและด้านหนึ่งขาดทุนอยู่ตลอดเวลาซึ่งผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนตลาดฟิวเจอร์ ส่วนใหญ่นั้นจะตัดใจด้วยการปิดสถานะทันทีเมื่อทิศทางไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จากนั้นค่อยหาจังหวะใหม่ในการเปิดสถานะใหม่

9. Overnight trade การเปิดสถานะข้ามวัน

บางช่วงเวลาหากประเมินสภาวะตลาดหรือมองทิศทางของแนวโน้มไม่ออก การเปิดสถานะค้างไว้เพื่อลุ้นในวันถัดไป ก็คงไม่ต่างอะไรกับการพนัน ที่เพียงเดาว่ามันจะขึ้นหรือลง ซึ่งบ่อยครั้งจะเห็นได้ว่ากำไรที่สะสมมาระหว่างวันนั้น กลายเป็นต้องมานั่งลุ้นนั่งพนันกับสิ่งไม่แน่นอนหรือควบคุมไม่ได้ในช่วงกลางคืนที่ตลาดปิด ดังจะเห็นได้จากราคาทองคำที่มีการซื้อขายอยู่ตลอด 24 ช.ม. แต่เวลาที่เราสามารถควบคุมได้(หยุดขาดทุนได้) ก็มีเพียงช่วงเวลาเทรดเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปในช่วงข้ามคืนในขณะที่เราไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้เลย หรือการซื้อขายดัชนีล่วงหน้า
SET50 ที่อาจมีแนวโน้มเปลี่ยนไปในช่วงกลางคืนจากการผันผวนของดัชนีตลาดต่างประเทศ เช่น Dowjone ก็อาจส่งผลในทิศทางตรงกันข้ามในช่วงเวลาเปิดตลาดของวันถัดไปก็เป็นได้

ดังนั้น การปิดประตูความเสี่ยง ได้คือการไม่มีสถานะ ในช่วงที่เราไม่สามารถควบคุมการลงทุนของเราได้

10.ไม่ประเมินสภาพคล่องของสถานะคงค้าง OI (Open Interest) และ Volume

มีนักลงทุนหลายคน มองเห็นถึงโอกาสส่วนต่างทางด้านราคาของสินค้าอนุพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น
Single Stock Gold Futures หรือ SET50 index options ว่ามีราคาฟิวเจอร์ที่ต่างจากสินค้าอ้างอิงอยู่มาก แต่เมื่อเขาทำการซื้อขายแล้ว กลับไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากไม่สามารถหาสัญญาตรงข้ามมาปิดสถานะเพื่อทำกำไรได้จริง กลับเห็นกำไรเป็นแค่ unrealized Profit ที่อยู่ในพอร์ต แต่พอเมื่อวันเวลาผ่านไป กลับเจอปัญหาว่า ทิศทางของราคาได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามกับที่เปิดสถานะไว้ จึงทำให้ตัวเองต้องขาดทุนอย่างไม่ได้ตั้งใจ แตซ้ำร้ายกว่านั้น หากหลักประกันมีไม่มากพอ อาจต้องโดนบังคับขายด้วยราคาที่ไม่พึงประสงค์ และขาดทุนในที่สุด ในเวลาต่อมา

สรุปได้ว่า "
การเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ตาม โดยมิได้ประเมินถึงสภาพคล่องอาจเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะไม่สามารถจับคู่ได้ จุดนี้นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์จึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบ Open Interest อยู่เสมอว่ายังมีผู้ถือสถานะอยู่เท่าไร"

***********************

ข้อผิดพลาด 10 ประการของนักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์

เรียบเรียง : 2
Binvestor

เครดิต :
investorchart.com

20 กรกฎาคม 2555

ที่มา http://2binvestor.blogspot.com/2012/07/10.html

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คิดแบบนี้ถึงได้จน


คนจนกลัวเงินหมด

ถ้าคนจนมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง เขาจะทำธุรกิจอะไรก็ไม่กล้า เพราะกลัวเงินจะหมด กลัวทำแล้วล้มเหลว ผมยกตัวอย่างว่า หากนำเงินหนึ่งแสนไปให้คนรวยกับคนจน คุณคิดว่าทั้งสองคนนี้จะใช้มันเหมือนกันหรือเปล่า
? คนจนนั้นมีเงินแสนก็มักจะเก็บไว้ด้วยความทะนุถนอม หรือไม่ก็อาจจะนำเงินครึ่งหนึ่งไปลงทุนซื้อของมาขายเล็กๆ น้อยๆ (เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่แค่นี้ ต้องรักษาไว้) เก็บกำไรกินไป ไม่อยากลงทุนด้วยเงินทั้งหมด เพราะกลัวเงินหมด (แล้วมันก็หมดจริงๆ นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
แต่ถ้าเป็นคนรวยเขาจะไม่ทำเช่นนั้น เขาจะวิเคราะห์ว่ามันมีธุรกิจอะไรบ้างที่มีรายได้ดี การลงทุนอะไรบ้างที่น่าสน เขาจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของตลาดและดูว่าใช้เงินทุนเท่าไหร่ หากเงินทุนไม่พอ ก็อาจจะหาเพิ่มด้วยการกู้ธนาคาร ชวนเพื่อนร่วมหุ้น (หรือไม่ก็ขอแม่...หุหุ) เป็นต้น แล้วก็ลงมือทำเลย (เพราะยิ่งคิดนานยิ่งกลัว) นี่แหละวิถีของคนรวย!

คนจนชอบบ่นว่าไม่มีเงินจะลงทุน

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้กลับไปบ้านเกิด จึงลองถามญาติๆ แถวบ้านดูว่า ระหว่างเงินทุนกับหัวสมอง อันไหนสำคัญกว่ากัน
? เขาตอบทันทีว่าเงินทุนสิ ถ้าไม่มีทุน ไม่มีเงิน แล้วจะเริ่มได้อย่างไร (ญาติผมคนนี้มีอาชีพรับจ้างและเป็นช่างเหล็ก)
แล้วคุณล่ะคิดหรือเชื่อแบบไหน
? คิดว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน เงินทุนหรือหัวสมอง? คนจนมักจะคิดว่าเงินทุนสำคัญกว่า แต่ถ้าลองเอาเงินทุนให้เขาหนึ่งล้านบาท เขาก็จะใช้มันไปกับสิ่งที่ชอบ ซื้ออะไรที่อยากได้ หลังจากนั้นก็พยายามใช้มันให้น้อยที่สุด (เพราะกลัวเงินหมด)

ยกตัวอย่างญาติผม เขาอาจจะนำเงินบางส่วนไปซื้อตู้เชื่อม อุปกรณ์สำหรับเชื่อมเหล็ก ดีไม่ดีอาจจะไปซื้อมอเตอร์ไซค์ด้วยซ้ำ (เพราะอยากได้มานาน เอาซักคัน หุหุ) แล้วก็นำเงินที่เหลือไปซื้อของใช้ที่อยากได้ และค่อยๆ ใช้เงินที่เหลืออย่างประหยัด ใช้ทีละน้อยให้มันหมดลงช้าๆ (แต่มันก็หมดอยู่ดี...เฮ้อ!) และแล้วเงินทุนที่มีก็หมดลงในที่สุด

ต่างจากคนรวย สายเลือดแห่งความรวยมันจะบอกเขาว่าวิธีการหาเงินที่อยู่ในสมองมันสำคัญกว่าเงินทุน ถ้าไม่มีเงินทุน เขาก็สามารถที่จะหยิบยืม ระดมทุน หรือหากู้มาได้ หากมีเงินทุน แต่ถ้าไม่มีหัวสมองในการใช้เงิน เดี๋ยวเงินมันก็หมด

ถ้าให้เงินคนรวยซักก้อนหนึ่ง เขาจะวางแผนใช้มันอย่างถูกต้องตามเหตุและผล เขาจะไม่ทำตามใจที่อยาก เขาจะดูว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ แล้วค่อยตัดสินใจจ่ายมัน (ไม่ใช้ทุกอย่างจำเป็นไปหมด) แล้วนำเงินที่เหลือไปลงทุนในธุรกิจที่ดีที่เขาได้คัดสรรมาจากหลายๆ ธุรกิจที่ผ่านการวิเคราะห์แล้ว
คนรวยบางคนอาจจะโชคไม่ดี เจอภัยน้ำท่วม ทำให้เขาหมดตัว แต่เขาก็จะทำมันให้กลับขึ้นมาได้เหมือนเดิม เพราะเขาเคยทำให้ธุรกิจมันเติบโตได้ เขาก็จะทำมันได้อีกครั้ง เนื่องจากในหัวสมองเขามันมีวิธีการอยู่แล้ว เขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะหาเงินทุนจากไหน อาจจะระดมทุนจากเพื่อนๆ หรือไม่ก็หาทางกู้เงินจากธนาคาร หาผู้ร่วมทุน เป็นต้น และเขาก็รู้ว่าควรต้องระวังจุดใดบ้าง แล้วเขาก็จะทำมันสำเร็จได้ในที่สุด

คนจนใช้เงินฟุ่มเฟือย

คนจนมักจะคิดว่าคนรวยนั่นแหละตัวดี ใช้เงินฟุ่มเฟือย ซื้อรถหรูๆ ซื้อบ้านแพงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ (ดูสิ ฟุ่มเฟือยเห็นๆ) แต่คนจนไม่รู้เลยว่าเงินที่คนรวยเขาใช้นั้น มันเป็นเงินจากกำไรที่ได้จากการทำธุรกิจ เขาซื้อมาเพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต เพื่อเติมพลังงานด้านบวก ต่างจากคนจนที่ใช้เงินจากค่าแรงหรือเงินออมของตัวเอง เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็ไปซื้อโทรศัพท์ (ก็อยากได้อ่ะ ออกมาใหม่มันสวย โดนเลย) หรือไม่ก็เอาเงินไปซื้อรถ เก็บมาทั้งชีวิตก็อยากได้ไอ้คันนี้แหละ รอมานาน (ซื้อรถ เงินหมด ไม่มีเงินเติมน้ำมัน ก็เลยจอดเฉยๆ) พอเงินเดือนออกก็กินกุ้งเผา (เมาหัวทิ่ม) พอปลายเดือนเงินหมด (มาม่าซิครับ ออฟฟิศมีเครื่องทำน้ำร้อน หุหุ) นี่แหละนิสัยคนจน



สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์
ไขรหัสลับขุมทรัพย์เงินล้าน
http://www.facebook.com/kairahad