หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

11ขั้นตอนของการใช้เทคนิดที่แมงยุ่ยควรรู้


1. ตามแนวโน้ม
ศึกษากราฟระยะยาว เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ กราฟ รายเดือน และรายสัปดาห์ ด้วยการดูย้อนหลังหลายปี ด้วยการทำแบบนี้ จะทำให้มีมุมมอง ระยะยาว ต่อตลาดได้ดีขึ้น
ขณะที่ศึกษา กราฟระยะยาว จบแล้ว ควรศึกษา กราฟรายวัน และ กราฟ เทรดภายในวัน(120,90,45นาที)
การดูกราฟระยะสั้นเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดได้ แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขาย ในระยะที่สั้นมากๆก็ตาม
คุณจะซื้อขายหุ้นได้กำไรมากขึ้น ถ้าคุณซื้อขายในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มระยะกลางและระยะยาว

2. พุ่งเป้าไปที่แนวโน้ม และ ไปกับมัน
ตัดสินแนวโน้มและ ซื้อขายตามแนวโน้มตลาด แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น สามรูปแบบคือ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
เริ่มแรก ควรที่จะใช้กราฟก่อนที่จะเทรด คุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณทำตามทิศทางเดียวกับในแนวโน้มตลาด ซื้อ เมื่อ แนวโน้มขึ้น และ ขายเมื่อแนวโน้มลง
ถ้าคุณ เทรดในระยะกลาง ควรใช้กราฟ วัน และรายสัปดาห์
ถ้าคุณ เดย์เทรด ควรใช้กราฟ วัน และกราฟการซื้อขายภายในวัน(นาที)
แต่ในแต่ละกรณี ควรใช้กราฟระยะยาวตัดสินแนวโน้ม และใช้ กราฟระยะสั้น ตัดสิน ช่วงจังหวะเวลาซื้อขาย

3. หาจุดต่ำสุดและสูงสุดของมัน, หาระดับแนวต้านและแนวรับ
ตำแหน่งที่ดีสำหรับการซื้อคือซื้อไกล้กับ แนวรับ โดยที่ แนวรับนั้น ไกล้เคียงกับ จุดต่ำสุดของเดิม
ตำแหน่งที่ดีสำหรับการขายคือ ไกล้เคียงกับแนวต้าน (ตีความได้ว่าไม่ใช่แนวต้านพอดี) แนวต้านปรกติแล้วคือจุดสูงสุดเดิม
หลังจากผ่านแนวต้านไปได้ จะทำให้เกิดแนวรับใหม่ตรงจุดที่ผ่านไป หรือจะพูด อีกอย่างหนึ่งได้ว่า ราคาตรงแนวต้านที่ผ่านไป จะเป็นราคาต่ำสุดใหม่ (แนวรับในอนาคต)
ในอีกขณะที่ เมื่อแนวรับถูกทำลาย ราคาตรงตรงนั้นจะกลายเป็น จุดสูงสุดใหม่(แนวต้านในอนาคต)

4. เราจะมองย้อนหลังกลับไปอย่างไร
 เราจะใช้การวัดเปอร์เซนต์ Retracements
 การที่ตลาดขึ้นหรือลง โดยปรกติจะเป็นสัดส่วนจาก แนวโน้มเดิม

กรุณาดูรูป retracements
ขยายความ;
แนวโน้มเดิม คือ ลง ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแนวโน้ม กลับตัวเป็นขึ้น เราสามารถ คาดการณ์ แนวต้าน 23.6 38.2% 50% 61.8% 100%
 ในกรณีนี้ รีบาว ที่ระดับ 23.6% (คำแนะนำทางทฤษฏี) คุณสามารถวัด การเปลี่ยนแปลงได้จาก แนวโน้มที่เป็นอยู่ ใน รูปแบบของ % ง่ายๆ  50% retracements ในแนวโน้มหลัก ถือเป็นระดับปรกติ
ระดับน้อยที่สุด คือ 1 ใน สามของแนวโน้มหลัก
ระดับมากที่สุดคือ 2 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก
 Retracements แบบ Fibonacci ระดับ 38% และ 62% ก็น่าสนใจ ขณะที่เปลี่ยนเป็นแนวขึ้น จุดซื้อควรเป็นระดับที่ 33-38%

5.ลากเส้น
วาดเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้ม เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดและมี ประสิทธิภาพที่สุดในเครื่องมือแบบกราฟ สิ่งที่คุณต้องการคือ
เส้น ตรง 1 เส้น และ จุดสองจุดบน กราฟ เส้นแนวโน้มขึ้นลากจาก จุดต่ำสุด 2 จุด
เส้นแนวโน้มลง ลากจุดจุดสูงสุด 2 จุด ราคา มักจะถูกดึงกลับไปตามแนวโน้ม ก่อนที่จะไปตามแนวโน้มต่อไป
โดยการขึ้นลงผ่านเส้นแนวโน้มนั้นปรกติจะถือว่า เป็นการเปลี่นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มที่ใช้ได้มักจะถูกทดสอบอย่างน้อยสามครั้ง
เส้นแนวโน้มระยะยาว จะมีประสิทธิภาพมาก และ ยิ่งจำนวนครั้งที่ ถูกทดสอบมีมากเท่าไหร่ ความสำคัญก็จะยิ่งมีมากขึ้น

6. ตามค่าเฉลี่ย
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะให้ สัญญาณเป้าหมาย ซื้อและขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะบอกคุณว่า แนวโน้มยัง อยู่ ในแนวโน้มเดิม และช่วยในการทำให้แน่ใจ ถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม
แม้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะไม่สามารถบอกคุณถึงอนาคตล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแนวโน้มตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
การผสมผสานของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สองค่า เป็นวิธีการ ที่เป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้หา สัญญาณ ซื้อและสัญญาณขาย
การผสมผสานสัญญาณซื้อขายที่เป็นที่นิยมกันคือ 5 กับ 10 วัน , 10 กับ 25 วัน , 5 และ 25 วัน จะให้สัญญาณเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ย ระยะสั้นตัด ค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า

ตัวอย่างเช่น
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 วัน(ระยะสั้น) ตัด เส้น ค่าเฉลี่ย 10 วัน (ระยะยาวกว่า)ขึ้น หมายถึงสัญญาณซื้อ
เมื่อราคาตัดสูงขึ้น(สัญญาณซื้อ)หรือต่ำกว่า(สัญญาณขาย)ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 40 วัน(แท่ง) ถือว่า เป็นสัญญาณซื้อขายที่ดี
โดย ที่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จะ เป็นตัวชี้การเป็นไปตามแนวโน้ม, ซึ่งวิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะดีที่สุดใน ตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจน

7. เรียนรู้การเปลี่ยนแนวโน้ม
ตรวจดูเครื่องมือ oscillators ต่างๆ เครื่องมือ oscillators นั้นช่วยในการหา ตลาดที่เกิดภาวะซื้อมากเกินไป และ ตลาดที่เกิดภาวะขายมากเกินไป ขณะที่ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้ความแน่ใจในการเปลี่ยนแนวโน้มตลาด
เครื่อง มือ oscillators จะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะ ขึ้นหรือลง มากขึ้น หรือ จะกลับตัวในไม่ช้า ที่เป็นที่นิยมมากคือ Relative Strength Index (RSI) and Stochastics ทั้งสองค่านี้เป็นที่นิยมใช้ในสเกล 0 ถึง 100

ค่า RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 ถือว่าเป็นภาวะที่ซื้อมากเกินไป ขณะที่ ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 30 ถือเป็นภาวะที่ขายมากเกินไป
การซื้อหรือขายมากเกินไป สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20

ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่นิยมใช้ค่า 14 วัน หรือ สัปดาห์ สำหรับ stochastics และ 9 หรือ 14 วัน หรือ สัปดาห์ สำหรับ RSI
เมื่อตัว Oscillator เกิด divergences บ่อยครั้งที่จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม เครื่องมือต่างๆเหล่านี้ ใช้ได้ดีสุดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม สัญญาณรายสัปดาห์ จะใช้ กรอง สัญญาณ รายวัน สัญญาณรายวัน สามารถใช้ในการกรองสัญญาณ ภายในระหว่างวัน

8. เรียนรู้ สัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นการรวมระบบ การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ด้วย การวัด ระดับ ภาวะ ซื้อเกินไป และขายเกินไปด้วย สัญญาณ ซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ สัญญาณที่เร็วกว่าตัดสัญญาณที่ช้ากว่า และ เส้นทั้งสองเส้นต่ำกว่า 0
สัญญาณขายคือ สัญญาณที่ช้ากว่าตัดสัญญาณที่เร็วกว่า และ ค่าทั้งสองค่า มากกว่า 0 สัญญาณราย สัปดาห์ ถือว่ามีความสำคัญเหนือกว่า รายวัน
MACD histogram วาดความแตกต่างระหว่างสองเส้นและให้ การเตือนก่อนถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม มันถูกเรียกว่า histogram เนื่องจาก ระดับความสูงของแท่ง แสดงถึงความแตกต่างระหว่างสองเส้นบนกราฟ

9 มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม
ใช้ ADX เส้น Average Directional Movement Index (ADX) ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่า ตลาดในขณะนั้นมีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม มันวัดถึงระดับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มและ ทิศทางของตลาด
การเพิ่มขึ้นของเส้น ADX แนะนำถึง การมีแนวโน้มที่มากขึ้น
การลดลงของ ADX แนะนำถึงการ ที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม
การเพิ่มของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ ค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัด
การลดลงของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่า oscillators
ด้วยการ ลากทิศทางของเส้น ADX ผู้ซื้อ/ขาย สามารถตัดสินใจ ระหว่าง สไตล์ในการซื้อขาย และ อะไรเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมที่สุด สำหรับภาวะในตลาดในขณะนั้น

10 เรียนรู้ถึง การสนับสนุนสัญญาณการซื้อขาย
สิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายนั้นประกอบด้วย ปริมาณการซื้อขายรวม และ ปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ เป็นสิ่งที่ สนับสนุนสัญญาณ
การซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ปริมาณ การซื้อขายรวมมีความสำคัญมาก่อนราคา ปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น จะทำให้เชื่อได้ว่า ชักจูงสู่แนวโน้ม
ในขณะที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายรวมควรมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายขณะเปิด เป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า เงินใหม่ได้เข้ามาสู่ ชักจูงเข้ามาสุ่แนวโน้ม การที่ปริมาณซื้อขายขณะเปิดลดลง บ่อยครั้งจะเป็นการเตือนว่า แนวโนมโน้มไกล้จบลง
ราคาที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นควรมีทั้ง ปริมาณการซื้อขายรวมที่มากขึ้น และ ปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ

11. การศึกษาทางเทคนิค
เป็นทักษะที่ทำให้ดีขึ้นด้วยประสบการณ์และการศึกษา ดังนั้นควรศึกษาและเรียนรู้ตลอดเวลา

ที่มา: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=19627&page=1

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

กฏ 10000 ชม.


มีใครเคยได้ยินเรื่องกฎ 10,000 ชั่วโมงบ้างไหมครับ?
กฎนี้มีการกล่าวอ้างโดยผู้มีชื่อเสียงหลายคน
อย่างเช่นในหนังสือ "Outliers:The Story of Success"
ของมัลคอล์ม แกลดเวลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีก็มีการพูดถึงกฎนี้ไว้เหมือนกัน
มัลคอล์ม แกลดเวลล์เป็นใคร? เราคงไม่พูดถึงเรื่องนี้
เราสนใจในประเด็นที่ว่ากฎ 10,000 ชม.คืออะไรและมีประโยชน์กับคนเล่นเกมแบบพวกเราอย่างไรมากว่า

กฎ 10,000 ชม.กล่าวว่า
หากใครก็ตามได้ฝึกทักษะใดๆ จนครบ 10,000 ชม.  คนนั้นๆจะมีความสามารถด้านนั้นในระดับโลกเลยทีเดียว
...ห้ะ การมีความสามารถในระดับโลก มันมีกันได้ง่ายๆแค่นี้เองเหรอ?
แค่ทำอะไรก็ตามหมื่นชั่วโมงเราก็จะเก่งระดับโลกกันแล้วงั้นสิ
โอเค งั้นผมไปฝึกเตะบอลเลยดีกว่า อีก10,000ข้างหน้าจะได้เป็นเมสซีหรือโรนัลโดบ้าง(ฮา)

หากเชื่อกฎหมื่นชม.จำนวนปีกว่าคุณจะฝึกทักษะได้ครบจำนวนชม.นั้น
ขึ้นอยู่กับจำนวนชม.ในหนึ่งวันที่คุณใช้ในการฝึก
เมื่อไล่ตามลำดับดูก็จะเป็นดังนี้
ฝึกวันละ 1 ชม. ใช้เวลา 10000 วัน หรือ 27 ปีกว่าๆ
ฝึกวันละ 2 ชม. ใช้เวลา 5000 วัน หรือ ราว 14 ปี
ฝึกวันละ 4 ชม. ใช้เวลา 2500 วัน หรือ ประมาณ 7 ปี
ฝึกวันละ 8 ชม. ใช้เวลา 1250 วัน หรือ เกือบๆ 4 ปี
...แต่กับคนธรรมดาอย่างพวกเราที่เรียนหรือทำงานไปด้วย
การฝึกอะไรวันละ 8 ชม.นั้นดูจะเกินความเป็นไปได้
เวลาที่เหมาะสมในการฝึกทักษะ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราคือวันละ 2-4 ชม.
ซึ่งก็คือกว่าเราจะเก่งระดับโลกได้ก็กินเวลาประมาณ 7 ปีนั่นเอง

ในหมวดหมู่การกีฬาที่สมรรถภาพทางร่างกายมีความสำคัญมากนั้น
กฎหมื่นชม.นี้ดูจะไม่เป็นมิตรกับคนที่มีอายุเกินกว่า 20 ปีขึ้นไปเสียเท่าไหร่
เพราะนักกีฬานั้น ช่วงที่พีคที่สุดคือราวๆ 16 – 25 ปี
...พอแก่กว่านี้ต้องเน้นความเก๋าแล้ว ไม่ใช่ความสด
หากทำตามกฎหมื่นชม.กว่าที่คุณจะมีความสามารถ พอ คุณก็ล่อไป 25 ปีกว่าแล้ว
แม้คุณจะมีทักษะดีพร้อมแต่ความสดคุณมีไม่พอ โอกาสที่คุณจะเก่งกระฉ่อนโลกก็มีน้อยลง
ดังนั้นคุณจึงพบว่านักกีฬาเก่งๆ ไม่ว่าจะบาส บอล กอล์ฟ ฯลฯ
ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนจากทางครอบครัวตั้งแต่เด็ก
และฝึกกันหนักถึงหนักมาก อาจจะเกิน 8 ชม.ด้วยซ้ำไป
เมื่อเริ่มฝึกทุกวันตั้งแต่ 10 ขวบ พออายุ 15 ก็ครบ 10000ชม.สบายๆ
และเมื่อมีทักษะบวกความสด การเป็นนักกีฬาระดับโลกก็เป็นเรื่องไม่เกินเอื้อมนั่นเอง
  
จุดที่น่าคิดคือในวงการเล่นเกม
สภาพร่างกายไม่ได้มีผลกระทบมากมายเหมือนการเล่นกีฬา
ไม่ว่าจะเป็นเกมกระดานหรือเกมคอมพิวเตอร์ คุณจะอ้วนเทอะทะหรือผอมกะหร่อง
ถ้าฝึกมามากพอ คุณก็มีโอกาสสู้กับคนอื่นได้เสมอ
ยกเว้นแต่คุณจะเจอประเภทเก่งอัจฉริยะ+มีความพยายามและฝึกมานาน
...อันนั้นก็ต้องยกธงขาวกันไป
โดยเฉพาะในกลุ่มคนเล่นหมากรุก หรือ หมากล้อม
คุณมักจะได้เจอแชมป์อายุน้อยๆที่สยบคนแก่ผมหงอกที่เล่นมาเป็น10 – 20 ปีได้
ซึ่งเมื่อเจอคนประเภทนี้แล้วแทบอยากเลิกฝึก เพราะฝึกให้ตายยังไงก็เอาแค่ให้สูสียังทำไม่ได้เลย

ข่าวดีคือเกมอย่าง HON,Battle Field,Starcraft2 หรือเกมคอมพิวเตอร์ เกมคอนโซลต่างๆ
ทุกคนเริ่มฝึกพร้อมกันหมด ในวันที่เกมเริ่มออกวางจำหน่าย
ดังนั้นทุกคนจึงเสมอภาคกันในเรื่องจุดสตาร์ท
ส่วนใครจะเก่งเหนือกว่าใครก็ขึ้นอยู่กับชม.การฝึกหลังจากเกมออกมาแล้วนั่นเอง

ผมคิดว่าการเล่นเกมอะไรก็ตามให้ครบ 10000 ชม.นั้น
ความรัก ความชอบในตัวเกมเป็นประเด็นหลักที่เราควรคิดให้ดีๆก่อนจะเลือกเกมเล่น
โดยเฉพาะคนที่จะเลือกเกมฝึกเพื่อเข้าแข่งขันE-sportในระดับประเทศหรือระดับโลก
ถ้าคุณไม่มีความรัก ความชอบในเกมนั้นๆ สักแต่ว่าฝึกๆเพื่อเข้าแข่งชิงรางวัล
คุณจะฝึกได้ไม่นาน ฝึกได้ไม่ทน เพราะคุณไม่ได้รักในตัวเกมที่คุณเล่น
สุดท้ายคุณก็สู้คนอื่นที่ฝึกเล่นเพราะความรักความชอบในเกมนั้นไม่ได้

เอาเข้าจริงการเล่นเกมให้ครบ 10000 ชม.นั้นดูเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากเท่าไหร่
เพราะเกมมันเต็มไปด้วยความสนุกและพวกเราก็พร้อมใจกันไปฝึกอยู่แล้ว(ฮา)
อนาคตเมื่อการแข่ง E-Sport เช่น HON,LOL มีผู้เล่นระดับ 10000 ชม.มาฟาดฟันกันเยอะๆ
เราน่าจะได้เห็นแมทซ์ระดับตำนานกันอีกหลายคู่เลยแหละ