ความหมายของ Turnover list | ||||||
ทั้งนี้ ไม่รวมหุ้น IPO ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์นับแต่วันที่หุ้นดังกล่าวเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกและหุ้นที่มีมูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์ต่ำกว่า 100 ล้านบาท | ||||||
รายละเอียดวิธีการคำนวณ | ||||||
วิธีการคำนวณ | ||||||
ที่มา: http://www.efinancethai.com/turnover/meanturnover.aspx |
Blogs ที่เขียนขึ้นแบบหนุกหนุก เพื่อเก็บความทรงจำที่ดีดี และเผื่อแพร่ชาวบ้านในคราวเดียวกัน... คติประจำตัว, จงอย่าโลภเด๊่ยวจะติดดอย..จงอย่ายึดติดเดี๋ยวจะจน..ให้อยู่ในวินัยและมีสติเสมอ.
วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556
ความหมายของ Turnover list
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556
ตีโจทย์เงินทุนเคลื่อนย้าย ระวัง Sudden Stock
ผลกระทบจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น
ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินในระบบผ่านการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ
เพื่อให้ราคาลดลงควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในให้ฟื้นตัวหลังประสบวิกฤต
เป็นทั้งดอกไม้และก้อนอิฐที่โยนเข้ามาให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างเอเชีย
กลายเป็นประเด็นร้อนเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้าย
เมื่อเงินหมุนไป
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทเทียบดอลลาร์แข็งค่า
สร้างปรากฏการณ์กลัวเงินร้อนจะก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจซ้ำรอย 16 ปีก่อนด้วยแล้ว ในฐานะสถาบันการศึกษาและเป็นเสาหลักของแผ่นดิน
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดเสวนาเรื่อง "ผลกระทบของเงินทุนเคลื่อนย้าย
และทางเลือกเชิงนโยบาย" ขึ้น
การเสวนาครั้งนี้เลือกผู้ร่วมเสวนาจากแบ็กกราวนด์ที่จะทำให้อรรถรสของการพูดคุยมีความน่าสนใจมากขึ้น
6 ปัจจัยดันเงินไหลเข้า
เริ่มจาก "ดร.จอน วงศ์สวรรค์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายเฮดจ์ฟันด์
สายงานลงทุนและค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในยุคของ "อลัน
กรีนสแปน" ก่อนที่สหรัฐจะเดินหน้าเข้าสู่แฮมเบอร์เกอร์ไครซิส
เปิดประเด็นผ่านการอธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดทุนเคลื่อนย้ายจากมุมมองของนักลงทุนว่ามี
6 ข้อ
ประกอบด้วย
1) ปัจจัยเรื่องผลตอบแทน
ที่ทุนจะไหลจากที่ผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่มีผลตอบแทนสูง
2) ปัจจัยการบริหารความเสี่ยงด้วยการสร้างความหลากหลายในการลงทุน
(Diversification) ให้ไม่กระจุกตัวในแหล่งใดแหล่งหนึ่งมากขึ้น
3) ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง
ซึ่งระดับความเสี่ยงที่ต้องการ ณ จุดต่าง ๆ จะนำไปสู่การปรับพอร์ตของนักลงทุน
โดย 3 ปัจจัยแรกที่กล่าวมานั้นเป็นการมองลักษณะการลงทุน
ส่วนอีก 3 ปัจจัยหลังจะทำให้เกิดการลงทุนจริง ๆ
ซึ่งประกอบด้วย กฎหมาย ต้นทุนในการซื้อ-ขาย และความสามารถในการรับทราบข้อมูล
"ถ้าประเทศใดมีการผ่อนคลายกฎหมายกฎเกณฑ์การลงทุน
มีต้นทุนการซื้อและขายที่เข้าง่าย-ออกง่าย ความคล่องตัวสูง
หรือมีการเปิดเผยข้อมูลมาก เงินก็จะไหลเข้ามาก" ดร.จอนกล่าว
ขณะที่ผู้ร่วมเสวนาอีกท่าน "ดร.ปิติ ดิษยทัต"
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
มีอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อครั้งทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ชื่อ "เบน เบอร์นันเก้"
ซึ่งปัจจุบันคือผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอธิบายว่า สถานการณ์ปัจจุบันเกิดขึ้นจากปัจจัยเชิงโครงสร้างกับปัจจัยเชิงวัฏจักร
ในแง่ปัจจัยโครงสร้าง ยามสหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรปกำลังมีปัญหา
ขณะที่กลุ่มประเทศเอเชียมีความสำคัญในเศรษฐกิจโลก
และยังมีช่องว่างของการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงได้มากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
จึงทำให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนในประเทศเหล่านี้สูงขึ้น
"เมื่อพิจารณาผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้น
มีตัวอย่างน่าสนใจคือ ถ้าคุณถือเงิน 100
ดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 1999 มาถึงปี 2011 แล้วนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนในอินเดียหรืออินโดนีเซียในเวลานี้
เงินที่ถืออยู่จะเพิ่มมูลค่าขึ้นเป็น 400 ดอลลาร์สหรัฐ คือเพิ่มขึ้น
4-5 เท่า ถ้าลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น 2-3
เท่า แต่ถ้าลงทุนในสหรัฐและประเทศพัฒนาแล้วเงินจะมีมูลค่าอยู่ที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งสะท้อนว่าประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการขยายตัวและอัตราผลตอบแทนสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว"
ส่วนปัจจัยเชิงวัฏจักร ในภาพใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ
(QE)
ของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
ขณะที่ในภาพย่อยเป็นความรู้สึกต่อความเสี่ยงในการลงทุนของนักลงทุนที่มองว่า
ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่ำ เศรษฐกิจดี เงินจึงไหลเข้ามา
ทุนเคลื่อนย้ายเสี่ยงทั้งเข้าทั้งออก
แล้วเมื่อเกิดเงินทุนไหลเข้า จะก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
3 ด้าน กล่าวคือ
1) ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าที่เป็นมา
ซึ่งเรื่องนี้ในแง่หนึ่งเป็นเรื่องปกติของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะมีแนวโน้มค่าเงินแข็งค่าขึ้น
ส่วนวิธีที่จะดูแลคือการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการเข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติ
2) มีผลทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
จนเสี่ยงต่อการเกิดการโป่งพองของราคาสินทรัพย์
ซึ่งประสบการณ์จากหลายประเทศชี้ชัดว่า เงินทุนจะเคลื่อนย้ายไปพร้อมกับ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศปลายทาง
ยิ่งเศรษฐกิจดี เงินยิ่งไหลเข้า แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น
เงินไหลเข้าไปเสริมเศรษฐกิจให้บูมขึ้น แต่ถ้าเงินไหลออกจะน่าเป็นห่วง
ด้วยเหตุนี้ในยามเศรษฐกิจดีจึงต้องใช้นโยบายการเงินผสมกับนโยบายกำกับสถาบันการเงิน
(Macro prudential) เพื่อดูแลภาคการเงินให้แข็งแกร่ง
และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสินทรัพย์ที่ปล่อยสินเชื่อ
ส่วนผลกระทบข้อ
3) การที่เงินไหลเข้าแล้วอยู่ ๆ
ก็แห่กันไหลออก จนทำให้ตลาดหุ้นร่วงอย่างฉับพลัน หรือ Sudden Stock จนเป็นวิกฤต ดังนั้น
การพิจารณาประเภทเงินทุนที่ไหลเข้ามาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะถ้าเข้ามาเป็นเอฟดีไอไม่น่าห่วง แต่ถ้าเข้ามาแบบเป็นเงินกู้ระยะสั้นจากต่างประเทศ
อันนี้ต้องหามาตรการดูแล
นอกจากนี้ "ดร.ปิติ"
ยังได้เสนอแนวทางรับมือหากเกิดการไหลออกของเงินจนทำให้ตลาดหุ้นร่วงฉับพลันว่า
ต้องเริ่มจากการทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์แข็งแกร่ง เพราะจะช่วยบรรเทาปัญหาต่อมา คือ
ต้องทำให้มีพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) ที่เพียงพอสำหรับการเข้ามากอบกู้เมื่อเกิดวิกฤต
ดังนั้น
คลังจึงต้องรักษาพื้นที่การคลังเพื่อให้ยามเกิดสถานการณ์เลวร้าย แบงก์เจ๊ง
คลังยังสามารถเข้าไปช่วยรับภาระได้ข้อเสนอที่ 3
ต้องพัฒนาปัจจัยเชิงสถาบันที่เข้มแข็ง เพื่อให้ตลาดมีการพัฒนา
และเมื่อเกิดปัญหาปัจจัยเชิงสถาบันจะเข้ามากอบกู้สถานการณ์ได้
แล้วการสร้างปัจจัยเชิงสถาบันให้แข็งแกร่งจะส่งผลดีในระยะยาว เมื่อวิกฤตคลี่คลาย
เงินทุนก็จะกลับเข้ามา
เพราะนักลงทุนที่มองระยะยาวจะมองไปที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศมากกว่า
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detai...&subcatid=0902
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
แนวทางการลงทุนในหุ้นให้ประสบผลสำเร็จ (สำหรับมือใหม่)
1.ต้องมีความรู้
ต้องศึกษาความรู้ทางด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ต้องศึกษาแนวทางการลงทุนในทุกแนวทางที่คุณสามารถหาอ่านได้
ซึ่งจะทำให้คุณมองเห็นข้อดี ข้อเสีย และมองเห็นหลักการที่เหมาะสมกับตนเอง
และเมื่อลงมือปฏิบัติก็ควรให้ความยืดหยุ่นกับหลักการที่ได้สั่งสมมาให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น
...
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลวจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้น
2.ต้องมีเงินลงทุน
เงินลงทุนเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ส่งผลต่อแผนการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง
เช่น ถ้ามีเงินลงทุนน้อย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ ก็เป็นเรื่องง่าย
แต่ถ้าไม่มีเงินเลยก็ต้องบังคับให้ไปเล่นในเงื่อนไขที่ยากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงสูง, สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนค่อนข้างเยอะ การเข้าซื้อขาย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ
จะยากขึ้นตามจำนวนเงินลงทุนกับสภาพคล่องของปริมาณการซื้อขายต่อวันหรือต่อหุ้นของบริษัทนั้นๆ
... ควรระลึกไว้เสมอว่า
ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้
ดังนั้นการวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตย่อมทำให้คุณได้เปรียบกว่า
3.ต้องมีเวลาติดตามการลงทุน
ไม่มีการลงทุนในกิจการใด
ที่คุณลงทุนไปแล้วไม่ต้องติดตามผลการลงทุนแล้วคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้ตามที่หวังไว้
คุณต้องให้เวลาในการลงทุนให้เหมือนหรือเทียบเท่ากับการเปิดกิจการของตนเอง...ผลลัพธ์จากการลงทุนเหมือนเป็นตัวสะท้อนความพยายามที่คุณให้กับมัน
อย่าลืมว่าคุณกำลังลงทุนให้กับตัวเองและครอบครัว
4.ต้องรู้จักบริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมกับเวลาและเป้าหมายการลงทุนที่คุณได้วางแผนไว้
ณ ที่นี้จะหมายถึงให้นำข้อ 1 ถึง 3 มารวมเข้าด้วยกัน และบริหารจัดการให้เหมาะสม
หรืออาจพูดง่ายๆ ก็คือต้อง ถูกที่ ถูกเวลา และให้เหมาะสมกับพอร์ตฯ การลงทุน
ความรู้ และประสบการณ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น
>>> สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ
แผนการลงทุนจะแบ่งออกเป็นกี่แบบก็ตาม
แผนการลงทุนดังกล่าวควรสอดคล้องกับเป้าหมายของตัวคุณเอง
เช่น
เป้าหมายของการลงทุนของคุณก็คือ ต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน
ดังนั้น แผนการลงทุน...อาจแบ่งออกเป็น
แผนการลงทุนระยะสั้น เทรดแบบเก็งกำไร
และนำกำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นต้นทุนเป็นศูนย์เพื่อรับปันผล (ในแผนการลงทุนระยะยาว)
และเมื่อพอร์ตฯ ขยายใหญ่ขึ้น
คุณก็จะสามารถรับปันผลจากหุ้นต้นทุนเป็นศูนย์ได้มากพอกับรายจ่าย
ซึ่งจะส่งผลให้คุณมีอิสระภาพทางการเงินในที่สุด
(ตามเป้าหมายของการลงทุนที่ได้วางไว้)
ที่มา:
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)