หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

8 นิสัยช่วยให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน


"พฤติกรรม" และ "นิสัย" เป็นส่วนผสมที่ทำให้คุณเป็น"เศรษฐี"ได้ ในเวลาเดียวกันพฤติกรรมและนิสัยบางอย่าง ก็บันดาล "ความยากจน" ให้กับคุณได้เหมือนกัน

หากคุณลองหมั่นสังเกตนิสัยของบรรดาเศรษฐีทั้งที่อยู่รอบตัวเราและที่อยู่ห่างตัวหน่อย ก็จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆ กัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมจะค่อนไปในทางละม้ายคล้ายกัน
ในทางตรงกันข้ามพวกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าเศรษฐี ก็มักจะมีนิสัยที่ถอดแบบกันมาเช่นกันทั้ง ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เกินตัว

ถ้าอย่างนั้นมีนิสัยอะไรบ้าง ที่ช่วยเนรมิตความเป็นเศรษฐีให้คุณ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 8 นิสัยที่ช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน

ไม่ใช่นิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างของคนเรา ที่จะหนุนนำให้ทุกคนขึ้นบัลลังก์ของเศรษฐีได้ เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอม ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ "8 นิสัยที่จะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน" ลองสำรวจตัวเองดู บางทีคุณอาจจะมีนิสัยเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้

บางคนอาจจะไม่มีเลย แต่ไม่เป็นไร นิสัยเหล่านี้สร้างและบ่มเพาะกันได้ หรือบางคนอาจจะแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดหน่อย แล้วนำนิสัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไม่ยากเย็น

ลักษณะนิสัยทั้ง 8 ข้อจากนี้ไป เป็นเหมือนกฎขั้นพื้นฐานที่เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ทั่วโลกยึดถือและปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งคนไทยทั่วไปสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ช่วยให้ตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือสองขาของเรานี่เอง

1. หาเงินไว้ลงทุน..ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

ใครก็ตามที่มุ่งมั่นและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร่ำรวยเงินทอง เพราะคนที่หาเงินได้มาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเจ้าของคำว่า "เศรษฐี"

เพราะบางคนหาได้เงินมากก็ใช้จ่ายมาก บางคนทำมาหากินแทบตาย แต่ต้องเอามาใช้หนี้สินที่ติดตัวอยู่

แต่สำหรับคนที่เป็นเศรษฐี จะมีนิสัยที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปต่อยอดการลงทุน เข้าตำราหาเงินไว้เพื่อลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

"คนส่วนใหญ่ทำงานหนัก เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต และบำเรอความสุขให้กับชีวิตตัวเอง แต่กลุ่มคนมีเงินตระหนักว่า ถ้านำเงินก้อนที่มีอยู่ไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเองน่าจะดีกว่า" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"วิเชฐ ตันติวานิช" กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ MAI เห็นด้วยกับนิสัยนี้ เพราะมีคนจำนวนมากที่มีรายได้เยอะ แต่เมื่อมีมากใช้มากก็ไม่มีทางที่จะเป็นเศรษฐีได้ แต่คนที่เป็นเศรษฐีก็มักจะมีนิสัยที่ต่างออกไป เมื่อมีรายได้เข้ามา แทนที่จะโหมใช้จ่าย พวกเขาจะนำเงินไปต่อยอดลงทุนเพื่อให้เงินออกดอกออกผล

2. มีแผนและทำตามแผน

เศรษฐีเงินล้านที่รวยได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ได้ร่ำรวยเพราะความบังเอิญ ส่วนหนึ่งนั่นเพราะพวกเขามีนิสัยที่มีแผนและลงมือปฏิบัติตามแผน ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันที่ช่วยพวกเขาให้เดินสู่ความรวย

"การวางแผนและทำตามแผนนำพวกเขาสู่จุดหมาย นั่นคือการลงทุนและสั่งสมความมั่งคั่งไว้ตลอดชีวิต" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"ดารบุษป์ ปภาพจน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย มองว่า เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมือใหม่หัดลงทุนมักจะละเลยไป คือการทำตามแผนที่วางไว้โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ ออมเงินก่อนหรือ Pay Yourself First โดยการหักเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนทันทีที่เงินเดือนออก ก่อนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพราะแผนที่วางไว้อย่างสวยหรูนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย หากไม่มีการนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

การมีวินัยในแผนลงทุนนั้นยังรวมถึง ผู้ลงทุนที่เลือกการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์เฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) ด้วยการลงทุนเป็นประจำด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน ผู้ลงทุนควรมีวินัย ไม่หวั่นไหวไปกับการขึ้นลงของภาวะตลาด โดยอาจใช้ร่วมกับแผนการลงทุนอัตโนมัติที่บริษัทจัดการต่างๆ มีไว้บริการ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลา และลดความวุ่นวายใจไปได้มากทีเดียว

วิเชฐเห็นด้วยกับข้อนี้ ทุกคนคิดและวางแผนการเงินการลงทุนได้ว่าจะทำโน่นนี่นั่น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่วางแผนแล้วจะปฏิบัติหรือลงมือทำตามแผน ฉะนั้น ใครก็ตามที่วางแผนทางการเงินให้ตัวเอง แล้วเดินตามแผนก็มักจะมีแววที่จะเป็นเศรษฐี

3. ทำงานหาเงินให้มากขึ้น

ความหมายข้อนี้ดูเหมือนชัดเจน เพราะกลุ่มคนมั่งคั่งมักจะพากันแสวงหาหนทาง ที่จะสร้างหรือหารายได้ให้ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีวันหยุด ด้วยการเพิ่มจำนวนเงิน ให้ทำงานออกดอกออกผลให้พวกเขาได้มากขึ้น
นี่คือนิสัยประจำตัวของบรรดาเศรษฐี จะสังเกตเห็นได้ว่า ยิ่งร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไม่หยุดทำงาน ยิ่งมั่งคั่งอยู่แล้ว ยิ่งหาทางต่อยอดการลงทุนให้มั่งคั่งยิ่งขึ้น
เรื่องนี้วิเชฐตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มีเงินทองหรือร่ำรวยในระดับหนึ่งแล้ว พวกเขามักไม่เก็บเงินเอาไว้อย่างเดียว แต่หาช่องทางเพื่อขยับขยายความรวย ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้เขามักจะให้เงินทำงานช่วยอีกแรง เรียกว่าทำเงินได้ 2 เด้ง

4. เข้าใจฐานะการเงินของตัวเอง

กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งต่างตื่นตัวกับการรับรู้รายได้ในบัญชีส่วนตัว และรู้ว่าการไหลเวียนของเงินที่ไหลเข้าออกในบัญชีมีเท่าไร ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่มักจะไม่ค่อยสนใจและใส่ใจในฐานะการเงินของตัวเองซักเท่าไร

บางคนยิ่งไปกว่านั้น เพราะปล่อยให้หนี้ท่วม นอกจากไม่ได้จัดระเบียบหนี้แล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือแทบไม่รู้เลยว่าหนี้ของตัวเองเบ็ดเสร็จแล้วมีเท่าไร

เรื่องนี้ดารบุษป์บอกว่าก่อนที่จะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ เราจะต้องมีการวางแผนรู้เขา รู้เรา ซึ่งการวางแผนการลงทุนก็ไม่ต่างกัน การเข้าใจฐานะการเงินของตนเองให้ถ่องแท้ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนการขับรถทางไกลโดยไม่เตรียมความพร้อม ไม่ได้เช็คเครื่อง หม้อน้ำ ปริมาณน้ำมัน ไม่รู้ว่ากำลังเครื่องยนต์ของรถนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถขึ้นเขา ลุยโคลนได้หรือไม่

ซึ่งการละเลยไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้ ก็มีแต่จะจะทำให้เราประสบปัญหาและอุปสรรคระหว่างทาง ต้องเสียเวลามากกว่าที่ควรเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หรือบางทีก็อาจหมดกำลังใจไปก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

"ก่อนจะเริ่มต้นวางแผนการเงินนั้น เราจะต้องรู้ว่ารายรับของเรานั้นมีความสม่ำเสมอแค่ไหน มีส่วนเกินกว่ารายจ่ายหรือไม่ รวมถึงมีการกันเงินเผื่อสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเพียงพอที่จะทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งเงินที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งหากเราละเลยขั้นตอนนี้ไป ก็ยากที่จะถึงเป้าหมายได้ "

วิเชฐเสริมว่า คนที่เป็นเศรษฐีมักจะมีนิสัยใส่ใจในเรื่องเงินทองอยู่แล้ว ทั้งรายรับรายจ่ายทำใส่เอ็กเซลชีทเอาไว้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ควรจะทำอย่างยิ่ง นี่เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะนำคุณไปเป็นเศรษฐีได้

5. กล้ารับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอมบอกไว้ว่า การเป็นผู้กล้ารับความเสี่ยง เป็นสิ่งต้องทำเพื่อเพิ่มความรวยให้ตัวเอง หากไม่เข้าไปฉวยโอกาสบางครั้ง เงินที่มีอยู่จะไม่มีโอกาสงอกเงย แต่เหนืออื่นใด ต้องเป็นความเสี่ยงที่คุณรับได้ และต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างดีเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะตลาดตกต่ำหรือช่วงขาลง

ข้อนี้ วิเชฐมองว่า คนที่จะเป็นเศรษฐีได้ พวกเขามักรู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร ประเมินได้ว่าความเสี่ยงมันใหญ่ขนาดไหน และตัวเขาเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน

"เพราะความเสี่ยงในระดับสูง ไม่ใช่ว่าเราไปยุ่งกับมันไม่ได้ คนที่เป็นเศรษฐีได้เขาจะประเมินพละกำลังของตัวเองก่อนว่า ความเสี่ยงแค่นี้ เรารับมือไหวมั้ย เพราะถึงจะเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงไหว เราจัดการกับความเสี่ยงนั้นได้ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงก็มี "

6.มีความอดทน&สติซ่อนอยู่ในการลงทุน

สังเกตมั้ยว่าพวกเศรษฐีเงินล้านที่ร่ำรวยจากสองมือสองขากับหนึ่งสมองของตัวเอง ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน แต่เศรษฐีเหล่านี้เข้าใจถึงพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น และความพยายามลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เพื่อให้ได้ความร่ำรวยเป็นรางวัลตอบแทน

ดารบุษป์เปรียบเปรยให้ฟังว่ามีคนเคยเปรียบการลงทุนว่าเหมือนการไต่เทือกเขาสูง ยิ่งเป้าหมายสูงเพียงใด นอกจากต้องเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์แล้ว ต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งจึงจะก้าวผ่านหุบเหวที่เป็นอุปสรรคไปได้ การลงทุนก็เช่นกัน ความผันผวนของตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้น เมื่อนักลงทุนได้แสวงหาเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองแล้ว ก็ควรเตรียมใจที่จะพบอุปสรรคที่จะเข้ามา

หากอุปสรรคนั้นเป็นอุปสรรคที่ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น เมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย หรือรัสเซีย ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูง ก็ต้องเผื่อใจสำหรับโอกาสที่จะขาดทุนอย่างมากในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน

วิเชฐเสริมว่าอดทนอย่างเดียวไม่พอ สำคัญที่สุดคนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะคนที่มีสติจะทำให้ตัดสินใจได้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ เขาควรตัดสินใจอย่างไร เช่นถ้าภาวะตลาดหุ้นไม่ดี คนที่มีสติก็อาจจะประเมินและตัดสินใจได้ว่า สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้เขาควรจะถอนตัวออกหรืออยู่ต่อเพื่อรอ หรือหาจังหวะเข้าลงทุน

7.ได้ทีมที่ยอดเยี่ยม

กลุ่มคนร่ำรวยยังคงความมั่งคั่งของตัวเองไว้ได้ ด้วยผู้คนแวดล้อมซึ่งเป็นที่ปรึกษาการเงินและกฎหมาย ซึ่งล้วนมีฝีมือเป็นเลิศในแวดวงอาชีพนั้นๆ นั่นเป็นประเด็นที่เราเห็นได้ว่าบรรดาเศรษฐีเงินล้านมักไม่เดินหน้าสร้างความร่ำรวยโดยลำพัง

"ลองสังเกตดูสิ คนที่เป็นเศรษฐีไม่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาท่ามกลางคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน แต่คนเหล่านี้จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน นั่นทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้แง่มุมและช่องทางต่างๆ ของการลงทุน ว่าอะไรที่จะทำให้เงินทองของเขางอกเงยขึ้น หรือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เงินออกดอกออกผล" วิเชฐให้ทัศนะ

8.รับฟัง..กลั่นกรอง...นำไปใช้

นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คือการแสวงหาคำแนะนำจากที่ปรึกษาเชื่อถือไว้ใจได้ เศรษฐีเหล่านี้รับฟังด้วยความมุ่งมั่นมีใจจดจ่อ จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำไปปฏิบัติและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เพื่อพยายามสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง

ดารบุษป์บอกว่าการวางแผนการลงทุนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิต ซึ่งต้องการความมีเหตุผลสูงกว่าการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป การฟังเขามาแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะแน่ใจได้ว่าการลงทุนที่เหมาะกับคนอื่นนั้นจะเหมาะกับตัวเราด้วย เช่น เมื่อฟังเพื่อนๆ พูดถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ก็ต้องนำมากลั่นกรองว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผลตอบแทนที่ว่าสูงนั้นๆ คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ และตัวเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่ว่านั้นแค่ไหน หรือมีวิธีที่จะลดหรือกระจายความเสี่ยงอย่างไรได้บ้าง โดยอาจต้องศึกษาจากข้อมูลการลงทุนในหนังสือชี้ชวน สอบถามผู้รู้ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

วิเชฐเองก็เห็นด้วยว่าคนจะเป็นเศรษฐีได้ เบื้องต้นต้องหัดรับฟังข้อมูล หาข้อมูลการลงทุนให้เยอะเข้าไว้ จากนั้นก็นำมากลั่นกรอง เพราะเมื่อได้ข้อมูลเยอะเราต้องกรอง จากนั้นค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน
"ผมว่านิสัยเหล่านี้เศรษฐีมีทุกคน บางคนข้อมูลเยอะ กลั่นกรองแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน คุณก็เป็นได้แค่นักวิเคราะห์ แต่เป็นเศรษฐีไม่ได้" วิเชฐให้ความเห็นทิ้งท้าย

ใน 8 นิสัยเหล่านี้ ลองถามไถ่ตัวเองดูซิว่ามีกี่ข้อ ถ้ามีครบ 8 เตรียมสะกดคำว่าเศรษฐีรอไว้ได้เลย แต่ถ้าไม่มีสักข้อ ก็ยังไม่สายเกินไปค่อยๆ บ่มเพาะนิสัยเหล่านี้กันใหม่ได้
ขอขอบคุณ คุณดารบุษป์ ปภาพจน์

ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล: www.stock2morrow.com
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=39314&s=3e3ab808bd2805c7f8d4858d8d8d02f5

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีการเลือกซื้อกองทุน LTF


ซื้อกองทุน LTF อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

ความนิยมในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี2553 ที่ผ่านมา ยอดเงินลงทุนในกองทุน LTF สูงถึง 129,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ51.56% ประโยชน์หลักของการลงทุนกองทุน LTF คือการลดหย่อนภาษี และกำไรจากการลงทุน แต่ใช่ว่า การลงทุนในกองทุน LTF จะเหมาะกับทุกคน เพราะการลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนหุ้น นักลงทุนจึงมีโอกาสขาดทุนได้ บทความฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีการลงทุนกองทุน LTF ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดค่ะ

พิจารณาฐานภาษีสูงสุดของคุณว่าอยู่ที่เท่าไร

หลักการคิดจำนวนเงินที่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนกองทุน LTF คือ

ยอดเงินลงทุน (ไม่เกิน 15% ของรายได้ หรือ 500,000 บาท) x ฐานภาษีสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น คุณมีฐานภาษีสูงสุด 20% และซื้อกองทุน LTF เป็นเงิน 50,000 บาท ดังนั้น คุณจะสามารถลดหย่อนภาษีจากการลงทุนครั้งนี้ได้ 10,000 บาท (ทั้งนี้ ยอดเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีอาจน้อยกว่า 10,000 บาท หากรายได้ที่ตกในฐานภาษี 20% เป็นเงินน้อยกว่า 50,000 บาท) ดังนั้น คนที่มีฐานภาษีอยู่ในระดับสูงจะได้รับประโยชน์จากการซื้อกองทุน LTF เป็นอย่างมาก เสมือนซื้อหุ้นได้ถูกกว่าคนอื่น เช่น หากคุณ ซึ้อกองทุน LTF ที่ดัชนี 1,000 จุด และฐานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 30%ต้นทุนในการซื้อกองทุนของคุณจะเสมือนซื้อที่ดัชนี 700 จุด ในทางตรงกันข้าม หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% คุณจะสามารถซื้อหุ้นที่ดัชนี 900 จุด ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก การซื้อกองทุน LTF ของผู้ที่มีฐานภาษีสูงสุดที่ 10% อาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก เมื่อคุณถือกองทุนครบ 5 ปีปฏิทิน และต้องการขาย คุณมีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนครั้งนี้ เพราะต้นทุนในการลงทุนของคุณอยู่ในระดับสูง

ดังนั้น หากฐานภาษีสูงสุดของคุณอยู่ที่ 10% ก่อนซื้อกองทุน LTF อย่าลืมตรวจสอบภาวะตลาดหุ้นว่า อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง หากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมามากและโอกาสปรับขึ้นได้ต่อมีน้อย ขอแนะนำให้ชะลอการซื้อกองทุน LTF ไปก่อนค่ะ

ทยอยซื้อกองทุน หรือซื้อก้อนเดียวปลายปีดีกว่ากัน

นักลงทุนหลายคนนิยมซื้อกองทุน LTF ช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ มักจะจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจในช่วงนั้น และนักลงทุนสามารถนำเงินโบนัสที่ได้ในช่วงปลายปีมาซื้อได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนในการซื้อกองทุน LTF มากขึ้น ดังนั้น พวกของสมนาคุณที่คุณได้รับมีโอกาสไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ขอแนะนำให้ลงทุนแบบทยอยซื้อดีกว่าค่ะ แต่จะทยอยซื้ออย่างไรนั้น สามารถแบ่งตามประเภทของนักลงทุนได้ 2 แบบค่ะ

1. มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การลงทุนในหุ้น และมีเวลาติดตามสภาวะตลาดแล้ว แนะนำให้ทยอยซื้อ เมื่อดัชนีหุ้นอ่อนตัวลงค่ะ

2. ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หากคุณงานยุ่งจนไม่สามารถติดตามภาวะตลาดหุ้นได้ แนะนำให้ลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging หรือซื้อแบบเฉลี่ยราคา เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งมีบริการหักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อัตโนมัติ เพื่อลงทุนในกองทุน LTF จะช่วยให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นค่ะ

ศึกษาข้อมูลกองทุน LTF ต่างๆ ก่อนเข้าลงทุน

ปัจจุบัน กองทุน LTF ในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 52 กองทุน จาก 20 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดังนั้น การเลือกซื้อกองทุน LTF คงเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน ขอแนะนำเทคนิคในการซื้อกองทุน LTF ดังนี้

1. เลือกนโยบายการลงทุน กองทุน LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ดังนั้น ผลการดำเนินงานของกองทุนมักจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นลง คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่ระบุว่าลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% หรือ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน หรือเลือกกองทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Short Futures) ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าหน่วยลงทุนไม่แกว่งตัวตามการขึ้นลงของตลาดหุ้น

2. เลือกนโยบายการจ่ายเงินปันผล กองทุน LTF มีทั้งแบบจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากคุณเลือกแบบจ่ายเงินปันผล คุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุน แต่เงินปันผลที่ได้รับจะต้องเสียภาษี ซึ่งสามารถเลือกว่าจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% หรือนำมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี โดยขอแนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ดีกว่าค่ะ เนื่องจาก หากคุณเลือกมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ คุณจะต้องเสียภาษีในอัตราที่เป็นฐานภาษีสูงที่สุดของคุณ ซึ่งมีโอกาสมากกว่า10% ค่ะ

3. เลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดี เมื่อเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับตนเองแล้ว การเลือกกองทุนที่จะลงทุนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากค่ะ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่า กองทุนจะมีผลงานที่ดีเสมอไป ดังนั้น หลังจากที่ลงทุนกองทุน LTF ไปแล้ว คุณควรติดตามผลงานของกองทุนที่คุณถือว่ามีผลงานที่ดี เมื่อเทียบกับกองทุนอื่นๆ หรือไม่ หากผลการดำเนินงานไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุน LTF อื่นได้ในภายหลังค่ะ สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน LTF คุณสามารถตรวจสอบได้จากเวบไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน: www.aimc.or.th

การซื้อกองทุน LTF แม้ว่าจะสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้ แต่การลงทุนในกองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้น ดังนั้น หากคุณไม่สามารถรับความเสี่ยงระดับสูง แต่ต้องการลดหย่อนภาษี คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลื้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิต ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าแทนได้ค่ะ

โดย : ปานตา ฉัตรมาศ
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย