ตั้งแต่ปี 2539
ผมได้ลงทุนเงินทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในหุ้น ในช่วงแรกๆนั้น แน่นอน
ผมต้องเก็บเงินสดไว้จำนวนหนึ่งเป็นสภาพคล่องสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
เงินจำนวนนั้นถ้าคิดคำนวณก็อาจจะประมาณเท่ากับ 10%
ของเงินทั้งหมดที่มีอยู่ เงินอีก 90% ผมลงในหุ้นทั้งหมด
เหตุผลที่ผมลงทุนในหุ้นนั้น
เป็นเพราะผมเห็นว่า หุ้นที่ผมลงทุนนั้นเป็นบริษัทที่มั่นคง มีกำไรที่สม่ำเสมอ
มีปันผลที่ค่อนข้างแน่นอนประมาณไม่ต่ำกว่า 4-5% ต่อปี ผมลงเพราะผมเห็นว่า
หุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ผมจะทำได้
ผมไม่คิดว่าผมรับความเสี่ยงมากเกินไป
เพราะผมถือหุ้นต่างๆเกือบสิบบริษัท ถ้าบริษัทหนึ่งมีปัญหา
บริษัทอื่นก็ยังดีอยู่และทำผลตอบแทนชดเชยได้
ผ่านมาประมาณ 14 ปี
ผมก็ยังคงถือเงินสดเป็นสภาพคล่องประมาณเท่าเดิม
แต่เนื่องจากเงินลงทุนในหุ้นของผมเติบโตขึ้นมาก เงินสภาพคล่องที่เคยเป็น 10% ของพอร์ต ตอนนี้จึงเป็นเพียง 1% ของเงินทั้งหมด
การถือหุ้น ?ร้อยเปอร์เซ็นต์? ของผม ?ตลอดเวลา? เป็นเวลา 14 ปีนั้น
ได้ผ่านเหตุการณ์ ?เลวร้าย? ต่างๆ
รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ 2
ครั้ง การปฏิวัติรัฐประหาร การถล่มทลายของตึกเวิร์ลเทรดจากการก่อการร้าย
การประกาศควบคุมเงินทุนไหลเข้าของธนาคารแห่งประเทศไทย และเหตุการณ์ร้ายแรงอื่นๆ
ซึ่งนั่นก็เป็นการพิสูจน์ว่า การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น ไม่ได้อิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและก็จะจบลงไปในระยะเวลาไม่นาน
การถือหุ้น 100% นั้น
นักวิชาการต่างก็พูดว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีอายุมาก
ที่จะไม่สามารถรับได้หากเกิดการขาดทุนและตนเองไม่สามารถทำงานหาเงินมาชดเชยได้
การถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น
อาจจะเหมาะก็เฉพาะคนที่ยังเป็นหนุ่มสาวที่รับความเสี่ยงได้มากเท่านั้น
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีเหตุผลที่จะถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์แม้ว่าอายุกำลังใกล้เกษียณ
เหตุผลของการถือหุ้น 100% นั้นมีมากมาย
ข้อแรก
หุ้นนั้น
ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีและน่าจะดีที่สุดในบรรดาการลงทุนในตราสารการเงิน
จากสถิติทั้งในและต่างประเทศพบว่า หุ้นให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 8-10% ซึ่งสูงกว่าเงินฝากหรือพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 3-5% เท่านั้น และคำว่าระยะยาวนั้น น่าจะมีความหมายว่าประมาณ 10-20 ปี ดังนั้น สำหรับผมซึ่งอายุยังไม่ถึง 60 ปี
และคิดว่าตนเองน่าจะอยู่ได้ถึง 80 ปี
ซึ่งจะทำให้ผมมีเวลาลงทุนอีก 20 ปี
ผมจึงเห็นว่าการลงทุนในหุ้นทั้งหมดน่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุด
ข้อสอง
ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไป จนผมมีอายุ 70 ปี
ถ้าผมยังมีความสามารถในการวิเคราะห์พิจารณาอยู่
ผมเองก็จะยังคงลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี เหตุผลก็คือ
เงินของผมที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น มันมีอยู่มากเกินพอที่ผมไม่สามารถใช้ได้หมดอยู่แล้ว
เงินส่วนใหญ่นั้นคงจะส่งผ่านต่อไปที่ลูก ดังนั้น สิ่งที่ต้องดูจริงๆก็คือ
อายุของลูกไม่ใช่อายุของผม และถ้าเป็นอย่างนั้น
เราก็ควรลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ
ผมไม่มีความเสี่ยงที่จะมีเงินไม่พอใช้จ่ายในยามที่มีอายุมากขึ้น
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นเงินฝากหรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อยนิดแต่อย่างใด
ข้อสาม
ถ้าไม่มองในด้านของอายุหรือระยะเวลาในการลงทุน
แต่ดูที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบันก็จะพบว่า
มันต่ำมากจนไม่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ต่ำกว่า 1% ต่อปีนั้น ยิ่งเราเก็บไว้นานเราก็ยิ่ง ?ขาดทุน?
ตรงกันข้าม
ถ้าเราลงทุนในหุ้นด้วยการเลือกหาหุ้นที่ดีในราคาที่ต่ำหรือราคายุติธรรม
เราก็อาจจะสามารถทำเงินเพิ่มเป็นเท่าตัวได้ในระยะเวลาอาจจะไม่เกิน 5-6 ปี หรือถ้าพลาด ราคาหุ้นไม่เพิ่มเลยในช่วงเวลาหลายปี
แต่ปันผลที่ได้ในแต่ละปีที่ประมาณ 3-4%
ก็ยังคุ้มค่ากว่าการฝากเงินอยู่ดี ดังนั้น การถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น
เป็นเรื่องที่มีข้อดีและควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่เป็น Value
Investor ผู้มุ่งมั่น
เหตุผลข้อสุดท้ายของการถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น
เป็นเรื่องที่ว่า มันมีโอกาสที่จะทำให้เรา ?รวย? ได้ โดยที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เหนื่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีเวลาลงทุนที่ยาวนาน เช่น คนหนุ่มสาวทั้งหลาย
ว่าที่จริง คนที่อายุยังไม่ครบ 30 ปี
และมีเงินเดือนหรือรายได้ในระดับคนชั้นกลางที่ไม่มีภาระมากเกินไป
และมีความมุ่งมั่นในการลงทุนเต็มเปี่ยมนั้น
น่าจะสามารถรวยในระดับร้อยล้านบาทก่อนที่จะตายได้ไม่ยาก หลักการใหญ่ก็คือ
เขาจะต้องลงทุนถือหุ้นชั้นนำไม่น้อยกว่า 5-6 ตัว
และไม่ควรเกิน 10 ตัว ด้วยเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น หลายคนอาจจะไม่แน่ใจ
เพราะดูเหมือนมันจะ ?ง่ายเกินไป? ความเสี่ยงดูเหมือนจะ ?น้อยเกินไป? ถ้ามันดีอย่างนั้นทำไมคนจึงไม่ทำกันหมด
เรื่องนี้ผมคงไม่สามารถตอบได้ในเวลาอันน้อยนิด ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า
พอร์ตหุ้นของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นก็เปิดเผย เขาถือหุ้นเหล่านั้นในระยะยาวมาก
พอร์ตหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงน้อย แล้วเขาก็รวย คำถามก็คือ
ทำไมคนจึงไม่ถือหุ้นเหล่านั้นตามบัฟเฟตต์?
เรื่องของการรวยจากการถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์
หรือมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น ว่าที่จริงผมได้พบ Value
Investor ผู้มุ่งมั่นหลายคนทีเดียวที่ทำได้สำเร็จร่ำรวยเป็นเศรษฐีด้วยเวลาที่สั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
คนเหล่านั้นค้นพบ ?ขุมทอง? ในตลาดหุ้นและขุดมันอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่หลายคนยังไม่เชื่อว่ามีขุมทองจริง ประเด็นก็คือ
เขายังไม่ได้ลองเข้ามาสำรวจ ยังไม่ได้ลงมือจับจอบเสียมและ ?ขุด?
พื้นดินจริงๆ ความหมายของผมก็คือ ถ้าคุณหวังจะรวยจากตลาดหุ้น
สิ่งที่จะต้องทำก็คือ ลงทุนซื้อหุ้นในวิธีที่ถูกต้อง ไม่มีทางอื่น เริ่มเดี๋ยวนี้
*********************
อยู่กับหุ้น 100%
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา http://www.sarut-homesite.net/2010/0...%8C-%E0%B9%80/
ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ