หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

เล่นหุ้นตามกระแส


เล่นหุ้นตามกระแส :ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วในช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกทางด้านการเงินที่เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น ทฤษฎีที่มาแรงที่สุดในขณะนั้นก็คือ Efficient Market Hypothesis หรือทฤษฎี ตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งบอกว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทุกตัวนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่มีตัวไหนถูกหรือแพง หุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลงในวันพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ในระยะยาวแล้ว หุ้นโดยเฉลี่ยก็จะโตไปตามตลาดซึ่งก็อาจจะให้ผลตอบแทนรวมประมาณปีละซัก 10% โดยเฉลี่ย ดังนั้น การใช้ข้อมูลอะไรมาวิเคราะห์พิจารณาเลือกซื้อหุ้นจึงไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นอย่างที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ เช่นเรื่องของแนวรับ แนวต้าน ข้อมูลกราฟราคาหุ้นย้อนหลัง 90 วัน 270 วัน หรือเส้นกราฟที่เรียกว่า Head and Shoulder ซึ่งนักวิเคราะห์บอกว่าเป็นรูปแบบที่ราคาหุ้นจะวิ่งไปเป็น 3 ช่วงที่เหมือนกับหัวไหล่ข้างซ้าย ศีรษะ และหัวไหล่ข้างขวา พูดง่าย ๆ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าราคาหุ้นในอดีตนั้น สามารถบอกถึงทิศทางราคาหุ้นในอนาคตได้

นักวิชาการที่เชื่อในทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพในขณะนั้น ได้ทดลองใช้ข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลังพิสูจน์และก็พบว่าราคาหุ้นนั้น เคลื่อนไหวไปอย่าง ไร้ทิศทางราคาของหุ้นในวันนี้ไม่ได้มีอะไรสัมพันธ์กับราคาหุ้นในวันก่อน เส้นกราฟราคาหุ้นก็ไม่มีรูปแบบหรือแบบแผนที่แน่นอน แนวรับแนวต้านต่าง ๆ นั้นไม่มีจริง ยิ่งรูปแบบที่เป็น ไหล่ ศีรษะ ไหล่นั้น เป็นเส้นที่เกิดจาก จินตนาการเหมือนกับการดูก้อนเมฆ หรือถ้าเป็นคนไทยก็อาจจะเป็นเหมือนการหาตัวเลขจากขี้เถ้าของธูปที่ขดตัวไปมา ว่าที่จริง มีเรื่องเล่าว่าศาสตราจารย์คนหนึ่งลงทุนใช้คอมพิวเตอร์วาดกราฟราคาหุ้นแบบเดาสุ่มออกมา เสร็จแล้วก็หลอกให้นักศึกษาในชั้นเรียนทางด้านเทคนิควิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นจะไปทางไหนซึ่งนักศึกษาต่างก็ใช้เทคนิคต่าง ๆ วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะว่าหุ้นตัวนี้กำลัง ฟอร์มตัวอยู่ในช่วงไหนและจะไปอย่างไรทั้ง ๆ ที่เส้นกราฟนั้นเกิดขึ้นแบบเดาสุ่มจากคอมพิวเตอร์ และนั่นก็เป็นการ ปิดฉากของการวิเคราะห์แบบเทคนิคที่เคยเฟื่องฟูก่อนหน้านั้น

แต่เรื่องของการเล่นหุ้นนั้น ก็คงจะคล้าย ๆ กับทฤษฎีทางสังคมอื่น ๆ ที่มี วัฏจักรและมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เราเคยเห็นหุ้นตัวใหญ่มาแรง แล้วบางช่วงหุ้นตัวเล็กก็ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว บางช่วงหุ้นโตเร็วมาแรงแต่บางช่วงหุ้น Value ก็มาแรงกว่า การ พลิกผันหรือเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่งนั้น เมื่อคนรู้มากเข้ากลยุทธ์นั้นก็จะได้ผลน้อยลงและอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป คล้าย ๆ กับว่า ความสำเร็จมักจะทำลายตัวเองและนี่ก็นำมาสู่การกลับมาของกลยุทธ์ทางเทคนิคที่เริ่มมีการค้นพบว่า บางทีราคาหุ้นในอดีตก็อาจจะพอบอกถึงราคาที่หุ้นจะไปในอนาคตได้ กลยุทธ์ที่ว่านี้ก็คือ การเล่นหุ้นโดยดูจาก Momentum หรือที่ผมจะใช้คำว่า เล่นหุ้นตามกระแส

ในช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมาในตลาดสหรัฐและประเทศอื่น ๆ มีการค้นพบใหม่ว่า หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นแรง ๆ ในช่วงประมาณหนึ่งปีหรือหกเดือนนั้น มักจะมี Momentum หรือมี แรงเฉื่อยที่มันจะวิ่งต่อไปอีกอย่างน้อยก็ 3 ถึง 6 เดือน หรืออาจจะถึงหนึ่งปี เพราะฉะนั้น ถ้าเราเล่นหุ้นเก็งกำไรอย่างสั้น ๆ เราก็สามารถลงทุนโดยทำเป็นพอร์ตหุ้นที่ซื้อหุ้นที่มีราคาวิ่งแรงที่สุดในช่วงเวลาที่กล่าว เสร็จแล้วก็ขายหลังจากที่ถือไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง ผลการศึกษาที่ให้ซื้อหุ้นที่ขึ้นแรงที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมาแล้วถือไว้เป็นเวลา 3 เดือนให้ผลตอบแทนมากกว่าปกติถึง 10% ต่อปีเหนือกว่าตลาดซึ่งถือว่าสูงมาก เช่นเดียวกัน เราอาจจะเลือกหุ้นที่วิ่งแรงที่สุดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา แล้วก็ถือไว้ต่ออีก 6 เดือน นี่ก็ให้ผลตอบแทนที่งดงามเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าถือหุ้นต่อไปอีก 3-5 ปี ผลตอบแทนกลับจะถดถอยลง ดังนั้น กลยุทธ์ในการเล่นหุ้นตามกระแสจึงไม่เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ว่าที่จริง มีการศึกษาว่าถ้าเราซื้อหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงติดต่อกัน 3 ปี แล้วถือยาวต่อไปอีก 3 ปี ผลตอบแทนที่ได้กลับเป็นลบ และทั้งหมดนี้ก็เป็นการขัดแย้งกับทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพที่บอกว่าราคาหุ้นในอนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้

คำอธิบายว่าทำไมหุ้นที่ขึ้นมาแรงแล้วจึงมีโอกาสวิ่งต่อไปได้มากกว่าที่จะนิ่งหรือลง คำตอบก็ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นที่ขึ้นแรงนั้น เป็นหุ้นที่ไม่ใคร่มีคนสนใจวิเคราะห์ติดตามหรือมีสภาพคล่องต่ำ เวลาที่หุ้นขึ้นไปแรง ๆ คนที่ถือหุ้นไว้โดยเฉพาะที่เป็นรายย่อยอาจจะรีบขายออกไปก่อนทำให้ราคาไม่ขึ้นไปแบบม้วนเดียวจบ แต่เมื่อราคาขึ้นไปคนอาจจะสนใจมากขึ้นและเข้ามาวิเคราะห์และอาจจะพบว่าพื้นฐานกิจการกำลังดีขึ้นมากและดังนั้นจึงเข้ามาซื้อมากขึ้นและทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปอีก กระบวนการนี้อาจจะใช้เวลา อาจจะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้นจึงวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่หลังจากนั้น คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่อาจจะรู้ข้อมูลหมดแล้ว บางคนอาจจะเริ่มเห็นว่าราคาที่ขึ้นไปนั้นสูงเกินพื้นฐานแล้วเนื่องจากหุ้นตัวนั้นมีการ เก็งกำไรกันอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงเริ่มขาย นักลงทุนคนต่อมาก็อาจจะเห็นเหมือนกันก็เริ่มจะขายในขณะที่คนที่จะซื้อเริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ และนี่ทำให้การถือหุ้นที่ขึ้นมาแรงนานเกินไปโดยเฉพาะคนที่เข้ามาทีหลังขาดทุน ส่วนคนที่ออกไปก่อนในเวลาที่เหมาะสมทำกำไรได้งดงามในหุ้นที่ไม่ใคร่มีคนสนใจติดตาม

ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ผมไม่แน่ใจว่ากลยุทธ์เล่นหุ้นตามกระแสหรือตามโมเมนตัมใช้ได้ดีแค่ไหนแม้ว่าโดยส่วนตัวจากการสังเกตในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมรู้สึกว่าหุ้นจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นตัวเล็กที่มีสภาพคล่องต่ำมี กระแสที่แรงมาก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็นอย่างนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องของกลไกตลาดตามปกติหรือจะมีการ ปั่นกระแส ผสมโรงด้วยหรือไม่ ผมเพียงแต่รู้ว่าคนที่ จับกระแสได้ถูกต้อง นั่นก็คือ เข้าและออกได้ถูกเวลา น่าจะสามารถทำกำไร มโหฬารในขณะที่คนที่เข้าออกผิดเวลานั้นกลับขาดทุนอย่างหนัก นอกจากนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหลักเกณฑ์ที่ใช้ในตลาดหุ้นต่างประเทศจำนวนมากที่ให้ใช้หุ้นที่วิ่งแรงมาแล้วหนึ่งปีหรือหกเดือนและขายในช่วง 3 เดือนหรือ 6 เดือนตามลำดับนั้น ใช้ได้กับตลาดหุ้นไทยไหม ดังนั้น คนที่สนใจจะเล่นหุ้นตามกระแสก็ต้องทดลองและ เสี่ยงกันเอง

อาจจะมีคำถามว่าถ้าจะเล่นหุ้นตามกระแสแต่อยากจะลดความเสี่ยงโดยการเล่นเฉพาะหุ้นตัวใหญ่เช่นหุ้นใน SET 50 จะได้หรือไม่? คำตอบของผมก็คือ ได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม การศึกษาในตลาดหุ้นต่างประเทศก็บอกว่า ผลตอบแทนก็จะน้อยลง หรือพูดง่าย ๆ ถ้าหุ้นที่มีนักวิเคราะห์ติดตามมาก ซึ่งมักเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ราคาก็อาจจะวิ่งต่อไปไม่มากนักแม้ว่ายังจะบวกอยู่

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแนะนำหรือเชียร์ให้เล่นหุ้นตามกระแส เพราะโดยหลักการแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะทดแทนหรือดีกว่าการวิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้งและพิจารณาลงทุนตามหลักการแบบ VI ที่ผมเห็นว่าดีและปลอดภัยที่สุดในระยะยาว เพราะการลงทุนแบบใช้กฎเกณฑ์ที่ตายตัวนั้น อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อไรก็ได้ดังนั้นในวันที่เราใช้มันอาจจะ ล้าสมัยไปแล้วก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อีกครั้ง ความสำเร็จแบบง่าย ๆ ในตลาดหุ้นนั้น มักจะทำลายตัวเอง

****************************

เล่นหุ้นตามกระแส

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR

ที่มา : http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/09/10/1171

ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

Super Stock



ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือและยกย่อง วอเร็น บัฟเฟตต์  แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขาที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า  Super Stock  เหตุผลคงเป็นว่า  ข้อแรก  Value Investor ในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ ราคาซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม  ในขณะที่  คุณภาพของกิจการนั้น  นักลงทุนคิดว่าเป็น  ตัวประกอบ”  พูดง่าย ๆ  ถ้าราคาหุ้น ไม่ผ่าน”   ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร  ข้อสอง  เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock นั้น  เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม  ถ้าจะว่าไป  หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock แบบในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ  หรือเปล่า   และสุดท้ายก็คือ  Value Investor อาจจะคิดว่า  การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์

ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน  แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร  และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่

ข้อแรก  Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า  Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ  อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น  และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้  เรื่องของ DCA นี้  บ่อยครั้ง  นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด  เอา  ความได้เปรียบชั่วคราว”  มาเป็นความได้เปรียบที่ ยั่งยืน

ข้อสอง  หุ้นสุดยอดนั้น  จะต้องอยู่ในช่วงของ  Virtuous Circle  หรือ วงจรแห่งความรุ่งเรือง”  นั่นก็คือ  ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น   ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก  เช่นต้นทุนลดลงไปอีก  ในเวลาเดียวกัน  สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น  เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ ยึดครองตลาดนั้นได้  พูดง่าย ๆ  เราสามารถมองคร่าว ๆ  ได้ว่าในอนาคตระยะยาว  บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก  และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อสี่  การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

ข้อห้า  บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก  กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก  หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี

ข้อหก  บริษัทมี  Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก  และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น

ข้อเจ็ด  ผู้บริหารมักจะ  เก่งและได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก  พนักงานของบริษัทมักจะ ดีและมี ความสุขเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ  ไป

ข้อแปด  หุ้น  Super Stock นั้น  มักจะไม่เคยมีราคา  ถูกยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ   ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต  และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด  เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock  แน่นอนใน Super Stock เองก็มีดีกรีที่ไม่เท่ากัน  บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง   และที่ชัดเจนก็คือ  บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก  อย่างไรก็ตาม  มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย  ดังนั้น  เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน

Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock  แต่การเรียนรู้เรื่องของ  คุณสมบัติของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น  ตัวประกอบ”  ในการเลือกหุ้นลงทุน  นั่นก็คือ  หลังจากพบหุ้นที่  ราคาถูก”  เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว  ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน  ถ้าทำได้แบบนี้  ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ  สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า  ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด  แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท

==
ที่มา:
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/nives/20100202/98332/In-Search-of-Super-Stock.html