หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เปิดแฟ้ม แดง ไบเล่ อันธพาลชื่อดังแห่งยุค 2499








  1. ลงโรงเข้าฉายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.. สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาล" หนังภาคต่อของภาพยนตร์สุดฮอตเมื่อสมัย 15 ปีก่อนอย่าง "2499 อันธพาลครองเมือง" ที่แจ้งเกิดให้กับพระเอกหน้าหล่อ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ผู้ซึ่งรับบทเด่น "แดง ไบเล่" แต่ในภาคนี้ ภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาล" ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของนักเลงในยุค 2500 ผ่านตัวละครเด่นที่ไม่ใช่ "แดง ไบไล่" ไม่ใช่ "ปุ๊ ระเบิดขวด" หรือว่าไอ้พัน หลังวัง แต่อย่างใด แต่เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองของ "จ๊อด ฮาวดี้" ที่จู่ ๆ ก็เข้ามาเป็นนักเลงอย่างไม่รู้ตัว...

    ทั้งนี้ บทบาทของ "จ๊อด เฮาดี้" นำแสดงโดย "กฤษดา สุโกศล แคลปป์" หรือ "พี่น้อย วงพรู" ที่เป็นตัวเชื่อมต่อเรื่องราวของภาพยนตร์ของทั้ง 2 ภาค เอาไว้ด้วยกัน ส่วนแดง ไบเล่ ในเวอร์ชั่นนี้นั้น แสดงโดย "เต๋า สมชาย เข็มกลัด"

    ... และถึงแม้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะถ่ายทอดเรื่องราวของ จ๊อด เฮาดี้ เพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนมือขวาของแดง ไบเล่ ตัวละครตัวใหม่ที่ไม่มีในภาคที่แล้ว แต่เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนคงอยากจะทราบเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของ แดง ไบเล่ นักเลงในตำนาน ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดังกล่าวอย่างแน่นอน วันนี้กระปุกดอทคอม ก็ขอย้อนเรื่องราวชีวิตจริงของ "แดง ไบเล่" อันธพาลหน้าหล่อมาให้รู้จักกัน

    "แดง ไบเล่" มีชื่อจริงว่า "บัญชา สีสุกใส" เกิดเมื่อปี พ.ศ.2483 ย่านตรอกหลักหิน หรือที่เรียกกันว่า "ตรอกไบเล่" ซึ่งเป็นโรงงานผลิตน้ำอัดลมไบเล่ ตั้งอยู่ข้างหัวลำโพง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยเป็นลูกของนางโฉม เจ้าของร้านซักอบรีด และห้องเช่าในย่านนั้น ส่วนพ่อของแดง ไบเล่ เสียชีวิตก่อนที่แดงจะเกิด


    ทั้งนี้ เมื่อ แดง ไบเล่ ย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็เป็นหัวโจกของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลาย และมีชื่อเสียงโด่งดัง จนได้รับการขนานนามว่า "แดง ไบเล่" ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก และเกรงกลัวกับอิทธิพลของเขา ทั้งนี้ นักเลงในยุคก่อน มักจะมีชื่อเรียกขานต่าง ๆ เช่น พจน์ เจริญพาศน์, พัน หลังวัง, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่, แหลมสิงห์, จ๊อด เฮาดี้, แอ๊ด เสือเผ่น, เบ้นเนอร์ พล ตรอกทวาย, เหลา สวนมะลิ เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ดี แดง ไบเล่ ถือได้ว่าเป็นขวัญใจของเหล่าวัยรุ่นตัวจริง เนื่องจากเป็นบุคคลที่หน้าตาดี และเป็นนักเลงที่นิสัยดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า แดง ไบเล่ สามารถกอดคอกับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้นได้เลยทีเดียว

    ส่วนเรื่องราวชีวิตจริงของ แดง ไบเล่ ที่ต่างจากในภาพยนตร์ก็คือ แดง ไบเล่ ตัวจริง ไม่เคยฆ่าคน ไม่ใช่โจร เป็นเพียงนักเลงวัยรุ่นธรรมดา ส่วนในภาพยนตร์ที่บอกว่า แดง ไบเล่ ชอบดื่มเหล้านั้น จริง ๆ แล้ว ไม่เคยมีใครเห็น แดง ไบเล่ ดื่มเหล้าเลยสักคน แถมแดง ไบเล่ ยังชื่นชอบ "มิล์คเชค" ที่สุดอีกต่างหาก

    อย่างไรก็ตาม แดง ไบเล่ ได้เสียชีวิต ในปี พ.ศ. 2507 ด้วยวัยเพียง 24 ปี จากอุบัติเหตุรถคว่ำ ขณะที่เดินทางไปชลบุรี เพื่อไปเป็นลูกน้องของผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งที่นั่น

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย 

จรัมพร เผยตลาดมีความพร้อมเปิดซื้อขายอาเซียนลิงค์เกจ 3 ประเทศในเดือน ส.ค.นี้


  1. นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์มีความพร้อมที่จะเปิดการซื้อขายหุ้นในกระดานอาเซียนลิงค์เกจ โดยเป็นการร่วมกับตลาดจากประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยรวมตัวหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 2,100 ตัว โดยแบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย 250 ตัว ที่เหลือเป็นบริษัทจดทะเบียนของ 2 ประเทศดังกล่าว



    ทั้งนี้ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงด้านตลาดทุนกับภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยจะต้องยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ให้ได้ เพื่อความอยู่รอด โดยผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัว เพราะการซื้อขายบนกระดานอาเซียนอาเซียนลิงค์เกจ สามารถทำธุรกรรมผ่านธนาคารสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งไทยต้องเตรียมตัวโดยได้มีการเปิดเสรีไว้แล้ว

    อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจ เพราะบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอัตราการทำกำไรและจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้สำหรับปัญหาวิกฤตในประเทศแถบยุโรป คาดว่าในเบื้องต้นคงจะส่งผลกระทบในภาคการส่งออกเหมือนกับในช่วงปี 2008 แต่หากย้อนดูในอดีตแล้วการเผชิญวิกฤตของภาคส่งออกก็สามารถปรับตัวได้ จึงอยากให้มองว่าวิกฤตยังคงมีโอกาส โดยต้องหาตลาดใหม่ๆ ในการทำการค้าให้มากขึ้น 

    source: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32997

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อิทัปปัจจยตา


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี,

อิทัปปัจจยตา เป็นหลักการทางพุทธศาสนากล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องกันของเหตุและผล เมื่อมีเหตุย่อมมีผล และเมื่อเหตุดับผลก็ดับคือเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อสิ่งนี้ ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มีเพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
อิทัปปัจจยตา ถือเป็นหัวใจของปฏิจจสมุปบาทเป็นกฎเหนือกฎทั้งปวง เป็นพุทธธรรมอันติมะหรือสัจธรรมความจริงแท้ ที่สุดของพุทธศาสนา และเชื่อมโยงคำสอนทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าว่า ล้วนเป็นไปตามหลักธรรม หรือกฎของอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
อิทัปปัจจยตาหลักอิทัปปัจจยตาซึมซ่านอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดำรงอยู่ การมีปฏิสัมพันธ์ และเสื่อมสลาย ของสรรพสิ่งในจักรวาล รวมถึงเป็นวิธีคิด ทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทุกสาขาด้วย ครอบคลุมทั้งปัจจัยส่วนวัตถุ จิตใจ สังคมและอื่นๆทั้งหมด ส่วนปฏิจจสมุปบาทหมายถึงแต่สิ่งมีชีวิตที่มีจิต
อิทัปปัจจยตาในทางพุทธศาสนามักใช้ในการอธิบายในรูปแบบปรัชญาใช้อธิบายสิ่งต่างๆแบบเชื่อมโยง เช่น เสาเป็นปัจจัยของหลังคา ถ้าไม่มีเสา หลังคาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีหลังคา เสาก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งเสาและหลังคาเป็นปัจจัยของกันและกัน คือ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีเหตุผล บางเหตุการณ์ประกอบด้วยหลายเหตุปัจจัย เช่น ร้องให้เพราะเจ็บ เจ็บเพราะหัวแตก หัวแตกเพราะหกล้ม หกล้มเพราะถนนลื่น ถนนลื่นเพราะฝนตก


อ้างอิง:

อิทัปปัจยตา ของ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินฺทปญฺโญ)พิมพ์ครั้งแรก พุทธศักราช 2516 พุทธทาสภิกขุ (พ.ศ. 2449-2536)

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เช็คความพร้อมไทยเป็นหนึ่งเรื่องดาราศาสตร์ในอาเซียน


ภาพการก่อสร้างหอดูดาวภายในจังหวัดฉะเชิงเทราอันเป็นส่วนหนึ่งของ “หอดูดาวภูมิภาค” ที่กระจายตัวใน 5 จังหวัดทั่วประเทศ สอดรับกับภาพการวางรากฐานความแข็งแกร่งทางด้านดาราศาสตร์ของไทย ซึ่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ยืนยันว่าไทยเป็นหนึ่งในอาเซียน โดยอีก 10 ปีข้างหน้าไทยจะมีกำลังคนด้านดาราศาสตร์เพิ่มขึ้นเป็น 60 คน
     
       “ถ้าเรื่องดาราศาสตร์แล้วไทยเป็นหนึ่งในอาเซียน ส่วนมาเลย์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์เขาไม่เอาในเรื่องนี้เลย” รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ระหว่างนำชมความคืบหน้าในการก่อสร้างหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา ต.วังเย็น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา โดยในแง่กำลังคนนั้นปัจจุบันสถาบันมีนักดาราศาสตร์อยู่ 5 คน แต่อีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 60 คน จากการมอบทุนให้เยาวชนไปศึกษาต่อทางด้านนี้
     
       หอดูดาวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนที่มีอยู่ทั้งหมด 5 แห่งทั่วประเทศ โดยสถานที่ตั้งหอดูดาวภูมิภาคที่เหลือได้ จ.นครราชสีมา ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จและรอติดตั้งกล้องดูดาว จ.สงขลา ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบหอดูดาว และจ.ขอนแก่น กับ จ.พิษณุโลก ที่จะมีโครงการสร้างหอดูดาวตามหลังหอดูดาวภูมิภาคอื่นๆ
     
       สำหรับหอดูดาวใน จ.ฉะเชิงเทรานั้นจะติดตั้งกล้องดูดาวแบบริชชี-เครเทียนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 เมตร เช่นเดียวกับหอดูดาวภูมิภาคอื่นๆ และนอกจากหอหอดูดาวแล้วยังมีอาคารท้องฟ้าจำลองที่ออกแบบให้รองรับผู้เข้าชมอีกประมาณ 50-60 คน ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างดำเนินไปแล้วประมาณ 60%
     
       รศ.บุญรักษากล่าวว่า เมื่อหอดูดาวแห่งนี้แล้วเสร็จจะกลายเป็นศูนย์ให้บริการด้านดาราศาสตร์แก่ประชาชนในภาคกลางและภาคตะวันออก และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวิชาการ นอกจากนี้ยังเชื่อมสัญญาณกับหอดูดาวภูมิภาคอีก 4 แห่ง รวมถึงรับสัญญาณการถ่ายภาพจากกล้องขนาด 2.4 เมตรของหอดูดาวแห่งชาติที่ตั้งอยู่บนดอยอินทนนท์อีกด้วย
     
       “หอดูดาวภูมิภาคแต่ละแห่งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำแห่งละ 10 คนเป็นผู้อำนวยการหอดูดาว เจ้าหน้าที่เทคนิค เจ้าหน้าที่บริหารงานและประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อีกหน่อยคนกรุงเทพฯ ก็จะได้มาใช้บริการที่หอดูดาวแห่งนี้ และยังจะเป็นศูนย์อบรมนักเรียนดาราศาสตร์โอลิมปิกด้วย” รศ.บุญรักษากล่าว
     
       นอกจากการให้บริการวิชาการแก่ประชาชนในประเทศแล้ว ผู้อำนวยการ สดร.ยังกล่าวไปถึงความร่วมมือทางวิชาการกับประเศอาเซียน ซึ่งหอดูดาวภูมิภาคแต่ละแห่งจะเป็นแหล่งให้บริการและอบรมแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นหนึ่งในด้านดาราศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
     
       การก่อสร้างหอดูดาวใน จ.ฉะเชิงเทรากำลังดำเนินต่อไป โดยล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการสร้าง “สวนพฤกษศาสตร์อนุรักษ์พันธุ์พืชกินได้และพันธุ์พืชเกี่ยวกับศาสนา” เป็นมูลค่า 18 ล้านบาท โดยจะปลูก “พืชกินได้” ที่รวบรวมจากทั่วภูมิภาคของไทย และพืชพันธุ์ที่เกี่ยวโยงกับศาสนารวมกว่า 300 ชนิด รวมถึง บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด ซึ่งให้การสนับสนุนท่อส่งน้ำสำหรับใช้ในโครงการสวนพฤกษศาสตร์ภายในหอดูดาวดังกล่าว

source: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000076906